หลังจากได้รับเคล็ดวิชากายาอมตะมา ความแข็งแกร่งของจ้าวเทียนในตอนนี้ก็เหนือไปกว่าอดีตถึงสองเท่า
ที่เป็นแบบนั้น ไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชานี้สูงส่งกว่าวิชาอื่นของจ้าวเทียน แต่เพราะเขาสามารถดัดแปลงมัน เพื่อให้ดึงเอาขุมพลังอันมหาศาลของแก่นแท้ดวงตะวัน ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
ทำให้ ถึงแม้จ้าวเทียนจะบรรลุเพียงขั้นแรก แต่ก็เหนือกว่าหยวนเทียนหลงที่บรรลุขั้นสองเสียอีก ไม่ต่างไปจากต้นฉบับของมหาเทพจูเซียนเท่าไรนัก
“ บัดซบ! อย่ามาอวดดีให้มันมากนัก หากไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณของฉัน คิดหรือว่าแกจะเอาชนะฉันได้ ” หยวนเทียนหลงพูดขึ้นด้วยความโกรธ
เมื่อสามวันก่อน เขาถูกร่างเจตจำนงเทพยุทธของจ้าวเทียน โจมตีเข้าใส่จิตวิญญาณจนแทบจะแตกสลาย แล้วยังฝืนอาการบาดเจ็บของตนเอง โจมตีสวนกลับไปอีกต่างหาก
ทำให้ตอนนี้ หยวนเทียนหลงเหลือความแข็งแกร่งไม่ถึงเจ็ดส่วนจากตอนแรก
“ แล้วยังไง…นี่ก็เป็นผลมาจากตัวแกเองทั้งนั้น ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา พร้อมกับเดินเหยียบอากาศเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามอย่างช้าๆ
บูมม! ๆๆๆ
ทุกย่างก้าวของจ้าวเทียนจะมีคลื่นพลังปะทุออกมา ประสานเป็นหนึ่งเดียวกับการเต้นของหัวใจของฝ่ายตรงข้าม
และด้วยเสียงที่สั่นพ้องกัน ทำให้เมื่อจ้าวเทียนก้าวเดินเร็วขึ้น หัวใจของหยวนเทียนหลงก็เต้นเร็วขึ้นเช่นกัน
กึก!ๆๆๆ
ร่างของหยวนเทียนหลงสั่นสะท้านไม่หยุด เพราะเลือดทั้งหมดได้ถูกสูบฉีดขึ้นมาอย่างถี่รัว จนทำให้เริ่มปรากฏหยดเลือดซึมออกมาตามรูขุมขน น่าสยดสยองมาก
“ แกคิดว่าวิธีชั้นต่ำแบบนี้ จะมาหยุดการพื้นฟูร่างกายของฉันได้งั้นเหรอ ”
“ เคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น ขั้นสีขาว! ”
“ เคล็ดวิชากายาอมตะ! ”
วูป!
หลังจากที่แสงสีขาวปกคลุมร่างกายของหยวนเทียนหลง บาดแผลและอาการบาดเจ็บทุกอย่างก็หายดีเป็นปกติในพริบตา
จากนั้นเขาก็หยิบแผ่นหยกสีแดงขึ้นมา บดขยี้มันเป็นผุยผง ทำให้เกิดเป็นก้อนพลังงานบริสุทธิ์ และถูกดูดซึมเข้าไปฟื้นฟูจิตวิญญาณของตนเอง สลายผลกระทบด้านลบออกไปทั้งหมด
“ หืม ดูเหมือนจะยังไม่ถอดใจสินะ ” จ้าวเทียนจ้องมองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด ว่าสมควรจะใช้ร่างเจตจำนงเทพยุทธออกไปเพื่อปิดบัญชีชำระแค้นเลยดีไหม
แต่เมื่อนึกไปถึงกองกำลังยอดฝีมือหนึ่งร้อยคนของสำนักจตุเทวะ เขาก็ต้องรีบหักห้ามใจเอาไว้ก่อน
‘ ขอเพียงฉันโจมตีเข้าไปเรื่อยๆก็ชนะได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนทุ่มพลังทั้งหมดออกไป ’
ยังมีอีกเรื่องที่จ้าวเทียนรู้สึกคาใจอยู่ นั่นก็คือทุกอย่างมันดูง่ายดายจนเกินไป ฝ่ายเขาสามารถยึดกุมความได้เปรียบทุกทาง
หยวนเทียนหลงจะต้องวางแผนการบางอย่างเอาไว้แน่ ถึงได้กล้าออกมาเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพัง แล้วปล่อยฐานบัญชาการตนให้อยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแบบนี้
ในขณะที่จ้าวเทียนกำลังคาดเดาความคิดฝ่ายตรงข้าม หยวนเทียนหลงก็แอบใช้สมบัติเวทชิ้นหนึ่ง เฝ้าดูการต่อสู้ในเมืองและสนามรบอย่างใกล้ชิด
จนเมื่อ เขาเห็นพวกทูตมังกรทองบุกทำลายกำแพงเมืองได้สำเร็จ และกำลังไล่ต้อนคนของตัวเองไปทางตำหนักเจ้าเมือง ก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
‘ ใกล้แล้ว…อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ’
ณ เมืองไพลินพิสุทธิ์
ท่ามกลางเศษซากอาคารบ้านเรือนที่พังทลาย กองกำลังทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ถึงแม้ฝ่ายคังหลินจะมีคนน้อยกว่าหลายเท่า แต่ทางด้านคุณภาพและการประสานงานของพวกเขากลับเหนือกว่าอีกฝ่ายมาก
นั่นก็เพราะ พวกเขามีโซเฟียและออโรร่าคอยสนับสนุนอยู่ เขตแดนแสงศักดิ์สิทธิ์ที่วางซ้อนทับกัน ได้เพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้ฝ่ายตนเป็นอย่างมาก ทั้งยังช่วยรักษาและฟื้นฟูบาดแผลอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเมื่อกองกำลังของฝ่ายศัตรูส่วนใหญ่ ได้ถูกเขตแดนศักดิ์สิทธิ์แบ่งแยกออกจากกัน…
ทำให้เทพกระบี่ ต้วนมู่เฉียน กงม่านเออร์และไป๋ซู่เจิน สามารถรับมือกับสามผู้นำสมาพันธ์บู๊ลิ้มและผู้อาวุโสระดับครึ่งก้าวเซียนนภาอีกสี่คนได้อย่างไม่กินแรง
ส่วนคนที่เหลือก็เข้าประสานกับค่ายกลของคังหลิน ตรึงกองกำลังส่วนใหญ่ของศัตรูเอาไว้ และพยายามให้มีผู้เสียชีวิตน้อยที่สุดตามเป้าหมายเดิม
และในตอนนี้ หลังจากผ่านการต่อสู้มานานเกือบชั่วโมง ผลลัพธ์ก็กำลังจะปรากฏขึ้นแล้ว
เปรี้ยง!ๆๆๆๆ ตูม!ๆๆๆๆ
เงากระบี่ดุจอัสนีบาตเกรี้ยวกราดดุดันนับร้อย ทะลวงไปยังสามผู้นำสมาพันธ์บู๊ลิ้มอย่างรุนแรง มันแยกการโจมตีเข้าใส่ทุกทิศทางในแง่มุมที่พิสดาร
จุดเด่นของเก้ากระบี่เดียวดายที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาใหม่ ได้สำแดงอานุภาพออกมาในศึกครั้งนี้อย่างเต็มที่ ยิ่งเมื่อได้รับการหนุนเนื่องจากกงม่านเออร์ ก็ทำให้เทพกระบี่เป็นเหมือนพยัคฆ์ติดปีก
ทุกการโจมตีของเขาบุกทะลวงเข้าใส่ศัตรูอย่างไม่หยุดยั้ง กระบวนท่าแปรผันร้อยเรียงกันเหมือนคลื่นทะเลที่คลุ้มคลั่ง
ในอดีตเทพกระบี่กับกงม่านเออร์ เคยออกท่องเที่ยวร่วมกันเป็นเวลานาน ทำให้พวกเขาประสานกระบวนท่ากันอย่างลงตัว แม้จะมีเพียงสองคน ก็สามารถสะกดข่มฝ่ายที่มีคนมากกว่าได้สบาย
“ เคล็ดกระบี่ไท่เก๊ก! ”
“ เจ็ดดาวพิฆาต! ”
“ เคล็ดกระบี่อิงฟ้า! ”
เปรี๊ยะ!
จากนั้น มันก็ควบแน่นกลายเป็นน้ำแข็งในพริบตา ความเย็นของมันเข้าใกล้ศูนย์สัมบูรณ์ทางทฤษฏี ภายใต้ความเย็นระดับนี้อนุภาคทุกชนิดจะหยุดการเคลื่อนไหวอย่างสิ้นเชิง
“ ผู้นำของพวกแกได้ถูกจับกุมแล้ว ทิ้งอาวุธยอมจำนนซะ ”
เทพกระบี่ตะโกนออกมาเสียงดังก้องไปทั่วสนามรบ ทำให้การต่อสู้ทุกอย่างหยุดชะงักไปในทันที
ทันใดนั้น
กองกำลังสวมหน้ากากหลายสิบคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนฟ้า แล้วพุ่งลงมายืนบนพื้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ หืม การต่อสู้ที่นี่ก็จบแล้วสินะ ” ทูตมังกรทองกวาดตามองไปรอบๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ ในเมื่อพวกคุณมาอยู่ตรงนี้ แสดงว่าสงครามนอกเมืองรู้ผลแล้วใช่ไหม จับตัวเจ้าตำหนักทั้งสองได้หรือเปล่า ” คังหลินถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ พวกมันหนีไปได้ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันส่งคนติดตามไปปิดล้อมสถานที่หลบซ่อนตัวของพวกมันแล้ว ” ทูตมังกรทองตอบออกอย่างมั่นใจ
“ คงไม่ใช่ว่า…พวกมันไปหลบซ่อนตัวในตำหนักเจ้าเมืองนะ ” คังหลินพูดดักขึ้นมาก่อน ทำให้ทูตมังกรทองหันมามองอีกฝ่ายด้วยแววตาแปลกใจ
“ คุณรู้ได้ยังไง ”
“ เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เห็นทีเรื่องนี้จะต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่นอน พวกเราควรมาวางแผนกันใหม่ จะได้ไม่ติดกับของฝ่ายตรงข้าม ” คังหลินพูดขึ้นด้วยท่าทีเคร่งเครียด
“ ไร้สาระ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าพวกเราชนะแล้ว แค่เข้าไปสังหารพวกมันให้หมดก็สิ้นเรื่อง จะถ่วงเวลาไปทำไม ” ทูตกระเรียนพูดขัดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
!!
“ เอ่อ…นั่นหน้านายไปโดนอะไรมาน่ะ” คังหลินถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อพบว่าหน้ากากที่อีกฝ่ายสวมอยู่แตกออกไปครึ่งหนึ่ง จนมองเห็นรอยเขียวช้ำบนใบหน้าได้ชัดเจน
ส่วนเรื่องคำพูดของอีกฝ่าย เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าไหร่ เพราะชินกับนิสัยรนหาที่ตายแบบนี้แล้ว
“ นี่มัน… ” ทูตกระเรียนมีท่าทีกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ทูตมังกรทองก็แกล้งมองไปทางอื่น เหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ทันใดนั้น
“ เป็น ฝีมือของฉันเองแหละ! ”
กงเสี่ยวเหมยพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา ตอนนี้เธอได้พาพวกลี่เหยาเหยากลับมารวมกลุ่มกับทุกคนเรียบร้อยแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...