ภายในห้องลับใต้ดินเต็มไปด้วยอักขระโบราณมากมาย จากที่คังหลินสังเกตดู เขาก็พบว่า มันถูกเขียนขึ้นจากโลหิตสดๆของหญิงพรหมจรรย์ที่มีร่างหยินบริสุทธิ์
ซึ่งก็แน่นอน ในห้องนี้นอกจากจูม่านฉีแล้ว ยังมีร่างของหญิงสาวคนอื่นอยู่ด้วย เพียงแต่พวกเธอทั้งสิบคนได้เสียชีวิตไปแล้ว จึงถูกนำไปกองรวมไว้ที่มุมห้องอย่างน่าอนาถ
“ ถ้าฉันไม่มัวเสียเวลาลังเลอยู่ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ” คังหลินป้อนโอสถเข้าปากจูม่านฉีแล้วอุ้มเธอไปฝากไว้กับไป๋ซู่เจิน
“ ดูเหมือน เราจะพบปัญหาแล้วล่ะ ” ต้วนมู่เฉียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากยอดฝีมือหลายสิบคนที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้า เหมือนต้องการขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าไป
คังหลินที่ได้ยินแบบนั้น ก็กวาดตามองไปยังแผ่นหินที่ตั้งอยู่กลางห้อง สลับกับอักขระโบราณที่วาดอยู่บนพื้น เพื่อประเมินสถานการณ์ดู
ตูมมมม!
ร่างของชายสวมหน้ากากสามคนปลิวกระเด็นไปกระแทกผนังอย่างรุนแรง พร้อมกระอักเลือดออกมาคำโต
“ ช่างเป็นเขตอาคมที่แข็งแกร่งจริงๆ ดีไม่ดี ถ้าพวกเราใช้กำลังเข้าทำลายโดยหักโหม มันอาจจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงก็ได้ ” ทูตเต่าดำวิเคราะห์ออกมาอย่างละเอียด
เขาหยิบกระจกแปดเหลี่ยม สมบัติกึ่งศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากแหวนมิติ แล้วให้มันส่องแสงไปทางม่านพลังของเขตอาคม
แวบ!
พริบตาที่แสงสีทองกวาดเข้าไปด้านในเขตอาคม ภาพเหตุการณ์อันน่าตกใจก็ปรากฏขึ้น อักขระโบราณแต่ละตัว ได้แปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างของชายชุดดำห้าร้อยคน ที่ควักหัวใจของตนเองมาถือไว้ในมือ
ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปความบ้าคลั่ง มีน้ำตาสีเลือดไหลซึมออกมาจากดวงตา และยังมีตะปูสีดำขนาดใหญ่ฝังเอาไว้ที่กลางหน้าผาก
“ คนพวกนี้…หรือจะเป็นยอดฝีมือห้าร้อยคนของตำหนักเทวะ ที่หายสาบสูญไปเมื่อสองวันก่อน ” กงม่านเออร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา และพยายามหลบเลี่ยงสายตาออกไปทางอื่น
เพราะถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือระดับสูง แต่เธอก็ยังเป็นสตรีผู้หนึ่งที่ไม่ชอบการฆ่าฟัน การได้มาเห็นอะไรแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้เป็นอย่างมาก
“ เอ๊ะ…ที่ใต้แผ่นหินอันนั้น มีโลงศพฝังอยู่ด้วย ” ไป๋ซู่เจินพูดขึ้น ทำให้ทุกคนหันไปมองทันที
กระจกแปดเหลี่ยมของทูตเต่าตำ นอกจากจะใช้ตรวจสอบค่ายกลได้ทุกชนิดแล้ว มันยังมองทะลุสิ่งกีดขวางได้ทุกอย่าง ตราบเท่าที่ผู้ใช้มีพลังมากพอ
“ โลงศพนั่น…หรือจะเป็น ” ทูตเทวะทุกคนต่างหันมาสบตากันเองด้วยรอยยิ้มที่ปิดไม่มิด ไม่คิดว่านอกจากจะเจอศิลาหินโกลาหลแล้ว แม้แต่ร่างของเทพโลกาตระกูลหยวนก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
เมื่อแย่งชิงทั้งสองอย่างนี้มาได้ พวกเขาก็สามารถจบภารกิจได้ทันที
“ ยินดีกับพี่ใหญ่ด้วย ขอเพียงเรานำร่างของเทพโลกานี้กลับไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลกนี้ก็จะตกเป็นของพวกเราทันที ” ทูตกระเรียนรีบพูดประจบออกมาอย่างรู้งาน ก่อนหน้านี้เขาทำพลาดมาเยอะ จึงจำเป็นต้องเร่งทำคะแนนเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษในภายหลัง
“ หึหึ ยังเร็วเกินไปที่นายจะดีใจนะ ไว้หลังจากที่พวกเราได้ทุกอย่างแล้วค่อยพูดคำนี้ออกมาก็ไม่สาย ” ทูตมังกรทองพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ขอเพียงทำภารกิจนี้สำเร็จ เขาก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักแน่นอน
อนาคตอันรุ่งโรจน์ของเขารออยู่ไม่ไกลแล้ว ขอเพียงทำลายเขตอาคมตรงหน้าให้ได้เท่านั้น
“ นายจัดการเขตอาคมนี้ได้หรือเปล่า ” ทูตกิเลนถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ดึงดูดสายตาของทุกคนในทันที
“ ฉันทำได้ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากทุกคนด้วย พวกเราต้องรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวแล้วใช้กระจกแปดเหลี่ยมอันนี้สลายเขตอาคมออกไป ” ทูตเต่าดำพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
ในขณะที่มองดูพวกทูตเทวะกำลังปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด เทพกระบี่ก็หันไปถามคังหลิน “ พวกเราจะเข้าร่วมการชิงสมบัติในครั้งนี้ด้วยหรือเปล่า ”
“ นี่ดูยังไงก็เป็นกับดักชัดๆ ถ้าคนพวกนั้นอยากจะรนหาที่ตาย ก็ปล่อยให้ทำตามใจชอบเถอะ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องถอนตัวกลับไปให้เร็วที่สุด เขตอาคมโลหิตนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ” คังหลินพูดออกมาเบาๆ แล้วรีบส่งสัญญาณให้ทุกคนออกไปด้านนอก
เพราะอย่างไรซะ จุดประสงค์เดิมของเขาก็คือการเข้ามาช่วยคนและตอนนี้มันก็สำเร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้อยู่ที่นี่อีก
ทันใดนั้น
“ คิดจะหนีงั้นเหรอ มันจะง่ายเกินไปหรือเปล่า ”
ทูตกระเรียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมกับส่งสัญญาณบางอย่างออกไป
วูป!
ศิษย์สำนักจตุเทวะสามสิบคน เคลื่อนไหวพริบตาไปขวางกั้นเส้นทางหลบหนีขอพวกคังหลินเอาไว้
“ นี่มันหมายความว่ายังไง ศัตรูสำคัญยังไม่ถูกกำจัด ก็คิดจะรื้อสะพานทิ้งแล้วเหรอ ” คังหลินพูดขึ้นด้วยความโกรธ
“ เข้าใจผิดแล้ว ที่ต้องขวางพวกนายไว้ ก็เพราะอยากจะขอความร่วมมือ ให้ช่วยอยู่นิ่งๆตรงนี้สักช่วงเวลาหนึ่ง ” ทูตมังกรทองพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
‘ เรื่องอะไร ฉันจะปล่อยให้พวกแกไปแจ้งข่าวที่ด้านนอกล่ะ ’
ทูตมังกรทองรู้ดี ว่ากากเทียบกันที่ความแข็งแกร่งโดยรวมของกองกำลังทั้งหมด พวกเขาสู้อีกฝ่ายไม่ได้อย่างแน่นอน
ในเวลาเดียวกัน
บนท้องฟ้าที่ความสูงนับหมื่นเมตร จ้าวเทียนได้ใช้กระบี่ตัดแขนซ้ายของหยวนเทียนหลงจนขาดเสมอไหล่ จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าประชิดตัวเพื่อที่จะสังหารอีกฝ่าย
ฉัวะ! ครืนนน!
เสี้ยววินาทีที่คมกระบี่ของจ้าวเทียนกำลังจะเด็ดศีรษะศัตรู แผ่นป้ายสีเขียวที่ข้างเอวของหยวนเทียนหลงก็ระเบิดม่านพลังออกมาต้านทานไว้ ก่อนที่จะแตกสลายไป
“ ครั้งที่สิบพอดี…ตอนนี้แกหมดตัวช่วยแล้วสินะ ” จ้าวเทียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตัวเขาเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เพราะต้องต่อสู้ด้วยพลังสูงสุดเป็นเวลานาน
“ เหอะๆ ” หยวนเทียนหลงแค่นเสียงออกมาเบาๆ สภาพเขาในตอนนี้นับว่าเลวร้ายที่สุดตั้งแต่เกิดมา แม้แต่พลังที่จะใช้รักษาอาการบาดเจ็บก็ยังไม่มี
บอกได้เลยว่า ที่เขายังทรงตัวอยู่ได้ก็เพราะพลังใจล้วนๆ
“ แกจะฝืนสู้ต่อไปเพื่ออะไร ในเมื่อกองกำลังของแกได้พ่ายแพ้ไปจนหมดแล้ว ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ กองกำลังของฉันงั้นรึ หึหึ ไอ้พวกนั้นมันก็แค่เครื่องมือที่ใช้แล้วทิ้งเท่านั้น ต่อให้ตายไปจนหมดสิ้น ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับฉันแม้แต่น้อย ” หยวนเทียนหลงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่เสียไปย่อมสามารถสร้างมันกลับคืนมาใหม่ได้แน่นอน
“ แกนี่มัน เกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ ” จ้าวเทียนบ่นออกมาด้วยความรู้สึกรังเกียจ และเตรียมจะลงมือสังหารอีกฝ่ายให้จบไป
ทันใดนั้น
แวบ!
สร้อยคอที่หยวนเทียนหลงสวมอยู่ก็ได้เปล่งแสงสว่างอันเจิดจ้าออกมาปกคลุมตัวเขาเอาไว้ เหมือนต้องการจะเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่อื่น
“ บัดซบ แกต้องตายที่นี่ ” จ้าวเทียนตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล แล้วใช้วิชากระบี่บินออกไปทันที
วิ้งงง! ฟุ่บ!
แต่ทว่ามันกลับสายเกินไป คมกระบี่ทะลุเพียงแค่ภาพติดตาเท่านั้น หยวนเทียนหลงได้หายไปแล้ว พร้อมกับได้ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง
“ รอก่อนเถอะ…ฉันจะกลับมาสังหารแกแน่นอน ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...