จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 365

ภายในห้องลับใต้ดินเต็มไปด้วยอักขระโบราณมากมาย จากที่คังหลินสังเกตดู เขาก็พบว่า มันถูกเขียนขึ้นจากโลหิตสดๆของหญิงพรหมจรรย์ที่มีร่างหยินบริสุทธิ์

ซึ่งก็แน่นอน ในห้องนี้นอกจากจูม่านฉีแล้ว ยังมีร่างของหญิงสาวคนอื่นอยู่ด้วย เพียงแต่พวกเธอทั้งสิบคนได้เสียชีวิตไปแล้ว จึงถูกนำไปกองรวมไว้ที่มุมห้องอย่างน่าอนาถ

“ ถ้าฉันไม่มัวเสียเวลาลังเลอยู่ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ” คังหลินป้อนโอสถเข้าปากจูม่านฉีแล้วอุ้มเธอไปฝากไว้กับไป๋ซู่เจิน

“ ดูเหมือน เราจะพบปัญหาแล้วล่ะ ” ต้วนมู่เฉียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากยอดฝีมือหลายสิบคนที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้า เหมือนต้องการขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าไป

คังหลินที่ได้ยินแบบนั้น ก็กวาดตามองไปยังแผ่นหินที่ตั้งอยู่กลางห้อง สลับกับอักขระโบราณที่วาดอยู่บนพื้น เพื่อประเมินสถานการณ์ดู

ตูมมมม!

ร่างของชายสวมหน้ากากสามคนปลิวกระเด็นไปกระแทกผนังอย่างรุนแรง พร้อมกระอักเลือดออกมาคำโต

“ ช่างเป็นเขตอาคมที่แข็งแกร่งจริงๆ ดีไม่ดี ถ้าพวกเราใช้กำลังเข้าทำลายโดยหักโหม มันอาจจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงก็ได้ ” ทูตเต่าดำวิเคราะห์ออกมาอย่างละเอียด

เขาหยิบกระจกแปดเหลี่ยม สมบัติกึ่งศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากแหวนมิติ แล้วให้มันส่องแสงไปทางม่านพลังของเขตอาคม

แวบ!

พริบตาที่แสงสีทองกวาดเข้าไปด้านในเขตอาคม ภาพเหตุการณ์อันน่าตกใจก็ปรากฏขึ้น อักขระโบราณแต่ละตัว ได้แปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างของชายชุดดำห้าร้อยคน ที่ควักหัวใจของตนเองมาถือไว้ในมือ

ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปความบ้าคลั่ง มีน้ำตาสีเลือดไหลซึมออกมาจากดวงตา และยังมีตะปูสีดำขนาดใหญ่ฝังเอาไว้ที่กลางหน้าผาก

“ คนพวกนี้…หรือจะเป็นยอดฝีมือห้าร้อยคนของตำหนักเทวะ ที่หายสาบสูญไปเมื่อสองวันก่อน ” กงม่านเออร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา และพยายามหลบเลี่ยงสายตาออกไปทางอื่น

เพราะถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือระดับสูง แต่เธอก็ยังเป็นสตรีผู้หนึ่งที่ไม่ชอบการฆ่าฟัน การได้มาเห็นอะไรแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้เป็นอย่างมาก

“ เอ๊ะ…ที่ใต้แผ่นหินอันนั้น มีโลงศพฝังอยู่ด้วย ” ไป๋ซู่เจินพูดขึ้น ทำให้ทุกคนหันไปมองทันที

กระจกแปดเหลี่ยมของทูตเต่าตำ นอกจากจะใช้ตรวจสอบค่ายกลได้ทุกชนิดแล้ว มันยังมองทะลุสิ่งกีดขวางได้ทุกอย่าง ตราบเท่าที่ผู้ใช้มีพลังมากพอ

“ โลงศพนั่น…หรือจะเป็น ” ทูตเทวะทุกคนต่างหันมาสบตากันเองด้วยรอยยิ้มที่ปิดไม่มิด ไม่คิดว่านอกจากจะเจอศิลาหินโกลาหลแล้ว แม้แต่ร่างของเทพโลกาตระกูลหยวนก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

เมื่อแย่งชิงทั้งสองอย่างนี้มาได้ พวกเขาก็สามารถจบภารกิจได้ทันที

“ ยินดีกับพี่ใหญ่ด้วย ขอเพียงเรานำร่างของเทพโลกานี้กลับไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลกนี้ก็จะตกเป็นของพวกเราทันที ” ทูตกระเรียนรีบพูดประจบออกมาอย่างรู้งาน ก่อนหน้านี้เขาทำพลาดมาเยอะ จึงจำเป็นต้องเร่งทำคะแนนเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษในภายหลัง

“ หึหึ ยังเร็วเกินไปที่นายจะดีใจนะ ไว้หลังจากที่พวกเราได้ทุกอย่างแล้วค่อยพูดคำนี้ออกมาก็ไม่สาย ” ทูตมังกรทองพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ขอเพียงทำภารกิจนี้สำเร็จ เขาก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักแน่นอน

อนาคตอันรุ่งโรจน์ของเขารออยู่ไม่ไกลแล้ว ขอเพียงทำลายเขตอาคมตรงหน้าให้ได้เท่านั้น

“ นายจัดการเขตอาคมนี้ได้หรือเปล่า ” ทูตกิเลนถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ดึงดูดสายตาของทุกคนในทันที

“ ฉันทำได้ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากทุกคนด้วย พวกเราต้องรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวแล้วใช้กระจกแปดเหลี่ยมอันนี้สลายเขตอาคมออกไป ” ทูตเต่าดำพูดออกมาด้วยความมั่นใจ

ในขณะที่มองดูพวกทูตเทวะกำลังปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด เทพกระบี่ก็หันไปถามคังหลิน “ พวกเราจะเข้าร่วมการชิงสมบัติในครั้งนี้ด้วยหรือเปล่า ”

“ นี่ดูยังไงก็เป็นกับดักชัดๆ ถ้าคนพวกนั้นอยากจะรนหาที่ตาย ก็ปล่อยให้ทำตามใจชอบเถอะ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องถอนตัวกลับไปให้เร็วที่สุด เขตอาคมโลหิตนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ” คังหลินพูดออกมาเบาๆ แล้วรีบส่งสัญญาณให้ทุกคนออกไปด้านนอก

เพราะอย่างไรซะ จุดประสงค์เดิมของเขาก็คือการเข้ามาช่วยคนและตอนนี้มันก็สำเร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้อยู่ที่นี่อีก

ทันใดนั้น

“ คิดจะหนีงั้นเหรอ มันจะง่ายเกินไปหรือเปล่า ”

ทูตกระเรียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมกับส่งสัญญาณบางอย่างออกไป

วูป!

ศิษย์สำนักจตุเทวะสามสิบคน เคลื่อนไหวพริบตาไปขวางกั้นเส้นทางหลบหนีขอพวกคังหลินเอาไว้

“ นี่มันหมายความว่ายังไง ศัตรูสำคัญยังไม่ถูกกำจัด ก็คิดจะรื้อสะพานทิ้งแล้วเหรอ ” คังหลินพูดขึ้นด้วยความโกรธ

“ เข้าใจผิดแล้ว ที่ต้องขวางพวกนายไว้ ก็เพราะอยากจะขอความร่วมมือ ให้ช่วยอยู่นิ่งๆตรงนี้สักช่วงเวลาหนึ่ง ” ทูตมังกรทองพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

‘ เรื่องอะไร ฉันจะปล่อยให้พวกแกไปแจ้งข่าวที่ด้านนอกล่ะ ’

ทูตมังกรทองรู้ดี ว่ากากเทียบกันที่ความแข็งแกร่งโดยรวมของกองกำลังทั้งหมด พวกเขาสู้อีกฝ่ายไม่ได้อย่างแน่นอน

ในเวลาเดียวกัน

บนท้องฟ้าที่ความสูงนับหมื่นเมตร จ้าวเทียนได้ใช้กระบี่ตัดแขนซ้ายของหยวนเทียนหลงจนขาดเสมอไหล่ จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าประชิดตัวเพื่อที่จะสังหารอีกฝ่าย

ฉัวะ! ครืนนน!

เสี้ยววินาทีที่คมกระบี่ของจ้าวเทียนกำลังจะเด็ดศีรษะศัตรู แผ่นป้ายสีเขียวที่ข้างเอวของหยวนเทียนหลงก็ระเบิดม่านพลังออกมาต้านทานไว้ ก่อนที่จะแตกสลายไป

“ ครั้งที่สิบพอดี…ตอนนี้แกหมดตัวช่วยแล้วสินะ ” จ้าวเทียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตัวเขาเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เพราะต้องต่อสู้ด้วยพลังสูงสุดเป็นเวลานาน

“ เหอะๆ ” หยวนเทียนหลงแค่นเสียงออกมาเบาๆ สภาพเขาในตอนนี้นับว่าเลวร้ายที่สุดตั้งแต่เกิดมา แม้แต่พลังที่จะใช้รักษาอาการบาดเจ็บก็ยังไม่มี

บอกได้เลยว่า ที่เขายังทรงตัวอยู่ได้ก็เพราะพลังใจล้วนๆ

“ แกจะฝืนสู้ต่อไปเพื่ออะไร ในเมื่อกองกำลังของแกได้พ่ายแพ้ไปจนหมดแล้ว ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ กองกำลังของฉันงั้นรึ หึหึ ไอ้พวกนั้นมันก็แค่เครื่องมือที่ใช้แล้วทิ้งเท่านั้น ต่อให้ตายไปจนหมดสิ้น ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับฉันแม้แต่น้อย ” หยวนเทียนหลงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่เสียไปย่อมสามารถสร้างมันกลับคืนมาใหม่ได้แน่นอน

“ แกนี่มัน เกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ ” จ้าวเทียนบ่นออกมาด้วยความรู้สึกรังเกียจ และเตรียมจะลงมือสังหารอีกฝ่ายให้จบไป

ทันใดนั้น

แวบ!

สร้อยคอที่หยวนเทียนหลงสวมอยู่ก็ได้เปล่งแสงสว่างอันเจิดจ้าออกมาปกคลุมตัวเขาเอาไว้ เหมือนต้องการจะเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่อื่น

“ บัดซบ แกต้องตายที่นี่ ” จ้าวเทียนตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล แล้วใช้วิชากระบี่บินออกไปทันที

วิ้งงง! ฟุ่บ!

แต่ทว่ามันกลับสายเกินไป คมกระบี่ทะลุเพียงแค่ภาพติดตาเท่านั้น หยวนเทียนหลงได้หายไปแล้ว พร้อมกับได้ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง

“ รอก่อนเถอะ…ฉันจะกลับมาสังหารแกแน่นอน ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน