จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 404

ณ พระราชวังจักรพรรดิแห่งแดนสวรรค์

บุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์หยกเขียว สวมฉลองพระองค์สีทองเช่นเดียวกับจักรพรรดิจีนโบราณ ปักลวดลายมังกรห้ากรงเล็บทะยานเก้าชั้นฟ้า บนศีรษะสวมพระมาลา มีเส้นร้อยไข่มุกเป็นแถวห้อยลงมาปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง

นี่คือจักรพรรดิเทพอวี่หวงต้าตี้ หรือที่ผู้คนบนโลกมนุษย์เรียกโดยทั่วกันว่า เง็กเซียนฮ่องเต้ ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดผู้ปกครองแดนสวรรค์ในยุคปัจจุบัน

ในขณะที่จักรพรรดิเทพอวี่หวง กำลังสอดส่องตรวจสอบความเป็นไปของเก้าท้องฟ้าสิบแผ่นดินดังเช่นทุกครั้ง พระองค์ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากโลกวัตถุระดับต่ำ ที่อยู่ภายในดาราจักรทางช้างเผือกอันแสนห่างไกล

‘ ความรู้สึกอันคุ้นเคยนี้…เป็นเช่นเดียวกับเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ในที่สุดมหาเทพจูเซียนก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วสินะ ’

‘ คิดว่าหลบซ่อนตัว อยู่ภายใต้เขตแดนผนึกของเทพมังกรบรรพกาล แล้วข้าจะหาตัวท่านไม่พบหรืออย่างไร ’

แท้จริงแล้ว เรื่องที่เศษเสี้ยวดวงวิญญาณของมหาเทพจูเซียนหนีรอดไปได้ ถูกล่วงรู้โดยเต๋าแห่งสวรรค์ตั้งแต่แรก เพียงแค่ยังไม่รู้สถานที่หลบซ่อนตัวเท่านั้น ทำให้ไม่อาจลงมือจัดการขั้นเด็ดขาดได้นั่นเอง

แต่ทว่า เมื่อมหาเทพจูเซียนได้เริ่มพิธีจุติถือกำเนิดใหม่ เบาะแสเหตุผลต้นกรรมของเขาก็ปรากฏขึ้นมาให้ตรวจสอบพบในที่สุด

ตลอดเวลาหมื่นปีที่ผ่านมา จักรพรรดิเทพอวี่หวงได้ให้ความสนใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมหาเทพจูเซียนเป็นสำคัญ ต่อให้ไม่ได้รับบัญชาจากเต๋าแห่งสวรรค์ พระองค์ก็ไม่มีวันยอมให้มีมหาเทพแห่งยุคอดีต ผุดขึ้นมาแย่งชิงอำนาจในยุคสมัยของตนแน่นอน

หากไม่ติดเรื่องข้อจำกัดบางประการ จักรพรรดิเทพอวี่หวงคงมีบัญชาให้กวาดล้างกากเดนที่เหลือดรอดของนิกายจูเซียนทั้งหมดในโลกมนุษย์ไปแล้ว ยอมสังหารคนผิดแต่จะไม่ยอมให้มีศัตรูเหลือรอดไปได้เป็นอันขาด

จิตใจอันเด็ดเดี่ยวและเหี้ยมโหดนี้คือสิ่งที่ผู้ปกครองทุกคนพึ่งมี ไม่เช่นนั้นก็คงปกครองทุกสรรพสิ่งในจักรวาลไม่ได้

“ เอ้อหลางเสิน! ”

แวบ!

เพียงมหาเทพอวี่หวงมีบัญชา ร่างของแม่ทัพเทพเกราะทองก็ปรากฏขึ้นคุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรงอันกว้างใหญ่

ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาดุจหยกสลักและท่าทีองอาจดุดัน พร้อมดวงเนตรที่สามตรงกลางหน้าผาก ซึ่งสามารถมองเห็นสรรพสิ่งในสามภพ

บุรุษผู้นี้คือขุนศึกคู่กายและเป็นหลายชายแท้ๆของจักรพรรดิเทพอวี่หวง ตั้งแต่ครั้งยังไม่ได้เป็นมหาเทพ ความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าเทพโลกาขั้นเก้าตามปกติมากนัก จนเรียกว่าอยู่บนจุดสูงสุดภายใต้ขอบเขตจักรพรรดิเทพได้เลย

“ จงจุติลงไปบนโลกมนุษย์ แล้วตรวจสอบร่องรอยของนิกายจูเซียนทั้งหมด โดยเฉพาะภายในมิติของโลกหมิงหลง แล้วรายงานขึ้นมาให้ข้าทราบ ”

“ และถ้าหากมีโอกาส ก็ให้ลอบสังหารร่างอวตารของขุมกำลังอื่นบนแดนสวรรค์ซะ โดยทำให้เหมือนเป็นการลงมือของสำนักดาราสวรรค์ เพื่อกระตุ้นให้พวกมันต่อสู้เข่นฆ่ากันเอง ”

“ จำไว้ว่า ห้ามเปิดเผยตัวออกไปเด็ดขาด ก่อนที่สิ่งสืบทอดของมหาเทพผานกู่จะปรากฏ ข้าไม่ต้องการศัตรูทุกคนรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเรา ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่ทัพสวรรค์เอ้อหลางเสิน ก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย เหมือนกำลังรู้สึกลำบากใจกับเรื่องบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าขัดบัญชาของมหาเทพ

“ เป็นอะไรไปรึ หรือเจ้ากำลังกังวลเรื่องวานรตัวนั้นอยู่ ” มหาเทพอวี่หวงกล่าวขึ้นอย่างรู้ทัน

“ เรียนองค์มหาเทพ เวลานี้มันก็จะถึงใกล้ช่วงเวลาที่วานรตัวนั้นจะออกจากการเก็บตัวแล้ว หากข้าไม่อยู่เกรงว่าอีกฝ่ายจะสร้างความวุ่นวายเหมือนครั้งก่อน ” เอ้อหลางเสินพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนาจาก็แล้วกัน หลังเข้าเป็นสาวกแห่งพุทธะ วานรตัวนั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เจ้าจงลงไปทำภารกิจที่ข้ามอบให้อย่างสบายใจเถอะ ”

“ เอ้อหยางเสิน รับบัญชา ”

ขุนพลเทพรีบรับคำ แล้วหายตัวไปในทันที อันที่จริงเขาแค่อยากได้รับคำยืนยันจากมหาเทพเท่านั้น พอเกิดเรื่องขึ้นความผิดจะได้ไม่ตกมาอยู่ที่ตน

เมื่อเห็นเอ้อหลางเสินจากไปแล้ว มหาเทพอวี่หวงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อันที่จริงพระองค์เองก็ไม่แน่ใจนักว่าหลังจากที่วานรตัวนั้นออกมาจะเปลี่ยนแปลงนิสัยหรือไม่

แต่เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ล้วนแต่อยู่บนโลกมนุษย์ จะให้ส่งคนอื่นลงไปก็ไม่มั่นใจเท่ากับขุนพลคู่กายของพระองค์เอง

‘ หรือข้า…ควรไปพบพระยูไลที่แดนสุขาวดีสักครั้ง ’

แดนสุขาวดีนั้นเป็นสถานที่เร้นลับ ซึ่งถูกค้นพบเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน โดยจะอยู่เหนือขึ้นไปจากโลกทิพย์แห่งพุทธะ และไม่อยู่ภายใต้การปกครองของแดนสวรรค์ จนแม้แต่มหาเทพอวี่หวงเองก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากความได้

ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความแข็งแกร่งของพระโพธิสัตว์ที่สถิตอยู่บนนั้นแต่ละองค์รวมกัน แทบจะทัดเทียมกับขุมกำลังทั้งหมดของแดนสวรรค์เลยทีเดียว

ถือเป็นโชคดี ที่ดินแดนแห่งนั้นได้ตัดขาดจากสรรพสิ่งทั้งมวล ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวความขัดแย้งของทุกชีวิตในจักรวาล

สิ่งเดียวที่พระโพธิสัตว์แต่ละองค์สนใจ ก็คือการโปรดสัตว์เพื่อสั่งสมบุญบารมีเท่านั้น ทำให้สามารถอยู่ร่วมกันกับแดนสวรรค์ได้จนมาถึงทุกวันนี้

ในเวลาเดียวกัน ภายในมิติปิดกั้นของเทพมังกร

ความน่ากลัวของเมอร์ลินก็คือ เวทย์ต้องห้ามบทหนึ่งที่เขาได้รับการถ่ายทอดมาจากเทพมังกรแห่งสว่างผู้เป็นอาจารย์

มันจะเปลี่ยนอาณาเขตสิบเมตรรอบตัวเองให้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ สามารถป้องกันการโจมตีทุกอย่างที่ต่ำกว่าขอบเขตเทพโลกาขั้นสามได้ โดยไม่สนใจข้อจำกัดใดๆทั้งสิ้น

ต่อให้เป็นเกาทัณฑ์ของโฮ่วอี้เองก็ไม่อาจทำลายมันได้ เพราะในมิติแห่งนี้พวกเขาไม่อาจใช้พลังเกินกว่าขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาได้นั่นเอง

สุดท้ายจ้าวเทียนก็ต้องป้องกันการโจมตีไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาของเวทต้องห้ามได้หมดลงซึ่งก็คือประมาณสิบนาที

แต่ใครจะคิดว่า หนึ่งในผู้ติดตามของอีกฝ่าย ซึ่งจ้าวเทียนมารู้ทีหลังว่าเป็นโฮมุนครุส มนุษย์ประดิษฐ์ที่เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุ จะสังเวยตัวเองเพื่อให้เมอร์ลินใช้เวทย์ต้องห้ามบทนั้นได้อีกครั้ง

สถานการณ์ทั้งหมดจึงวนกลับมาสู่จุดเริ่มต้น ที่จ้าวเทียนต้องคอยป้องกันการโจมตีไปเรื่อยๆเพื่อรอเวลา

‘ ถ้าไม่ใช่กังวลว่าจะพลั้งมือสังหารอีกฝ่าย ฉันคงใช้ร่างเจตจำนงเทพยุทธโจมตีเข้าไปแล้ว ม่านพลังพวกนี้ไม่อาจป้องกันได้แน่นอน ’

เคล็ดวิชานี้ของจ้าวเทียนเมื่อใช้ออกไปแล้ว จะอยู่เหนือห้วงเวลาและมิติ ไม่มีสิ่งใดป้องกันมันได้ ยกเว้นพลังรูปแบบเดียวกันที่ทรงอานุภาพเหนือไปอีกขั้นเท่านั้น เหมือนกับที่ร่างแยกของเต๋าแห่งสวรรค์ใช้ออกมาในอดีต

“ เมอร์ลิน! พอได้แล้ว ”

ร่างของอ๋าวเทียนปรากฏขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย ทำให้การต่อสู้หยุดลงในทันที เขาหันไปพยักหน้าให้จ้าวเทียนเล็กน้อย เพื่อเป็นการขอบคุณที่อีกฝ่ายไม่ลงมืออย่างเหี้ยมโหดเหมือนโฮ่วอี้

ไม่ใช่แค่เพียงอ๋าวเทียน แต่เทพมังกรทุกคนต่างก็รู้ว่าจ้าวเทียนยังมีกระบวนท่าไม้ตายอันน่าหวาดกลัวอยู่ แต่ที่เขาไม่ใช้ก็เพราะไว้หน้าพวกตนซึ่งเป็นกรรมการตัดสินเท่านั้น

“ ท่านอาจารย์ ฉันขอโทษ ” เมอร์ลินก้มหน้าลงด้วยความสำนึกผิด ใจจริงเขารู้ตัวนานแล้วว่าคงไม่อาจเอาชนะได้

แต่เพราะไม่ต้องการให้ผู้เป็นอาจารย์ต้องเสียหน้า จึงฝืนต่อกรกับอีกฝ่ายมาถึงตอนนี้ ยอมแม้กระทั่งเซ่นสังเวยโฮมุนครุสซึ่งผู้ช่วยตนเองมานับร้อยปี

ในบรรดาผู้ถูกเลือกทั้งหมด มีเพียงเมอร์ลินที่ได้กลายเป็นศิษย์และผู้สืบทอดที่แท้จริงของเทพมังกร ด้วยเรื่องนี้เองจึงทำให้เขายอมสู้สุดชีวิตเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียต่ออาจารย์

“ เอาล่ะ ผลการต่อสู้ก็ออกมาแล้ว ที่นี้ก็ถึงเวลาทำตามเงื่อนไขของเดิมพันได้ซักที เริ่มจากใครก่อนดีล่ะ ”

เทพมังกรอ๋าวเฟิงพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย พร้อมกับเรียกวงเวทย์พันธสัญญาผู้รับใช้มากมายออกมา ท่ามกลางสีหน้าโกรธแค้นของเทพมังกรคนอื่นๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน