การทดสอบสุดท้ายของจักรพรรดิอสูรกระบี่ นับว่ายากเย็นแสนเข็ญอย่างแท้จริง หากไม่ใช่เพราะทรัพยากรล้ำค่าจำนวนมาก ซึ่งเป็นรางวัลจากการผ่านสี่ด่านทดสอบก่อนหน้า
และคุณสมบัติอันน่าตกตะลึงของแผ่นหินโกลาหล ต่อให้เทพกระบี่เสียเวลาอีกเป็นร้อยปีก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้สำเร็จ
เพราะในสามครั้งแรก ตัวเขาถึงกับถูกจิตสังหารของกองทัพเทพมารบดขยี้จนไม่เหลือซาก ก่อนจะได้ต่อกรกับร่างเงาจักรพรรดิอสูรกระบี่ด้วยซ้ำ
“ ดูเหมือนข้าจะเดิมพันได้ถูกต้องสินะ มีเพียงเคล็ดหนึ่งกระบี่ทลายไร้สิ้นสุดจึงจะเอาชนะคลื่นพยุหะกระบี่ทำลายล้างของจักรพรรดิอสูรกระบี่ได้ ” เทพกระบี่ถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
เดิมทีเทพกระบี่คิดว่าการทดสอบนี้ คือการลอกเลียนแบบกระบวนท่าของจักรพรรดิอสูรกระบี่ให้สมบูรณ์ที่สุด
ซึ่งความล้มเหลวทั้งสิบเจ็ดครั้งก็พิสูจน์แล้วว่านั่นเป็นทางเลือกที่ผิด เพราะไม่ว่าจะเป็นยอดอัจฉริยะมาจากไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะผู้คิดค้นเคล็ดวิชาได้แน่นอน
แวบ!
แสงสีขาวได้ระเบิดขึ้นอีกครั้ง จากนั้นดวงจิตของเทพกระบี่ก็กลับคืนสู่ร่างกาย ในท่วงท่าที่กำลังยืนใช้มือสัมผัสแผ่นหินโกลาหลเหมือนเดิม
ครืนนน! เพล้ง!
โลกมิติแห่งความมืดมิดทั้งหมดสั่นสะเทือน ก่อนที่จะเริ่มแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนเศษกระจก หลงเหลือเพียงแผ่นหินโกลาหลและประตูสีดำบานหนึ่ง
“ หืม รางวัลของด่านทดสอบนี้คือเคล็ดวิชากับแผ่นหินโกลาหลงั้นรึ ” พูดจบ เทพกระบี่ก็เก็บแผ่นหินโกลาหลไว้ในแหวนมิติ แล้วรีบหายเข้าไปในประตูมิติทันที
วูป!
ร่างของเทพกระบี่ปรากฏขึ้นภายในมหาวิหารโบราณเก่าแก่ ที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและร่องรอยความเสียหายจากคมดาบและกระบี่ ราวกับเพิ่งผ่านสงครามอันดุเดือดครั้งใหญ่
“ ช่างเป็นรังสีสังหารที่เกรี้ยวกราดรุนแรงจริงๆ แม้จะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานก็ยังไม่สลายไป ” เทพกระบี่เดินลึกเข้าไปในวิหารเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็สังเกตุร่องรอยการต่อสู้ที่ถูกทิ้งไว้ไปพร้อมกัน
จนกระทั่งเมื่อเขาเดินไปถึงห้องโถงด้านในสุด ก็เห็นแผ่นป้ายขนาดใหญ่อยู่เหนือบัลลังก์ที่ว่างเปล่าตรงกลางห้อง มันถูกยกสูงจากพื้นด้วยบันไดที่ถูกสร้างจากเศษกระบี่ที่แตกหัก
“ มหาวิหารราชันกระบี่งั้นรึ หรือที่นี่ก็คือตระกูลฟ่าน หนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งแดนสวรรค์บรรพกาล ” เทพกระบี่อ่านตัวอักษรที่อยู่บนป้ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขารู้ดีว่าตระกูลฟ่านเป็นต้นกำเนิดของจักรพรรดิอสูรกระบี่ และก็เป็นศัตรูที่กล้าแข็งที่สุดด้วย เรียกได้ว่าทั้งสองฝ่ายบ่มเพาะความแค้นกันมาอย่างลึกล้ำ จนไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันเลยทีเดียว
ในขณะที่เทพกระบี่เริ่มหันมองรอบกาย ด้วยไม่รู้ว่าตนควรทำสิ่งใดต่อ เปลวเพลิงสีฟ้าก็ถูกจุดติดขึ้นมาทั่วทั้งวิหาร เงาร่างของยอดฝีมือมากมายค่อยๆแสดงตัวออกมา
นี่คือภาพเหตุการณ์ในอดีต เมื่อครั้งจักรพรรดิอสูรกระบี่บุกเดี่ยวเข้าเข่นฆ่าสังหารศัตรูเพียงลำพัง เนื่องมาจากคนรักและครอบครัวของเขาได้ถูกฝ่ายตรงข้ามจับกุมตัวไว้
จนสุดท้ายก็แทบจะพินาศไปด้วยกันจนหมดสิ้น นอกจากจักรพรรดิอสูรกระบี่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกับผู้นำตระกูลฟ่านที่หลบหนีไปในเวลานั้น ก็ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตอีก
“ ผู้สืบทอดแห่งจักรพรรดิอสูรกระบี่เอ๋ย จงเอ่ยนามของเจ้าออกมา ”
!!
เสียงที่ดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว และร่างของบุรุษชุดดำที่ปรากฏตัวนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม ทำให้เทพกระบี่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เพราะเขาจำได้ฝังใจว่าชายคนนี้ คือผู้มอบความพ่ายแพ้ให้กับตนตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา หรือก็คือจักรพรรดิอสูรกระบี่นั่นเอง
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร อีกฝ่ายสิ้นชีพไปตั้งแต่มหาสงครามเทพมารเมื่อหนึ่งล้านปีก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ ชิ้นส่วนดวงจิตที่อยู่กับเขาเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด
“ ผู้น้อยมีนามว่า ฟงอู๋หยางขอรับ ” เทพกระบี่โค้งตัวคารวะอย่างนอบน้อม เขามั่นใจแล้วว่าจักรพรรดิอสูรกระบี่ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ร่างเจตจำนง อีกทั้งยังไม่ไม่ใช่ร่างแยกหรือร่างอวตารแน่นอน
“ ที่แท้ ก็เป็นเช่นนี้ ” เทพกระบี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ในที่สุดปัญหาที่เขาเคยสงสัยมานาน ว่าผู้ใดเป็นคนสร้างดินแดนมรดกสืบทอด ก็ได้รับคำตอบเรียบร้อยแล้ว
” เสวี่ยหลง นี่คือนามที่นายท่านตั้งให้ข้า เจ้าก็เรียกข้าด้วยชื่อนี้เถอะ ” บุรุษชุดดำพูดขึ้น
“ ตกลง ท่านผู้อาวุโสเสวี่ยหลง ” เทพกระบี่ตอบกลับไปอย่างนอบน้อม
ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเพียงอาวุธ แต่กลับมีความจงรักภักดีต่อเจ้านายจนถึงที่สุด ยินยอมเฝ้ารักษาดินแดนมรดกเพียงลำพังเป็นเวลานับล้านปี ซึ่งควรค่าแก่การให้ความเคารพเป็นอย่างมาก
“ เจ้าคงเห็นภาพเหตุการณ์ในอดีต ที่นายท่านบุกเดี่ยวเข้ามาสังหารล้างแค้นผู้คนในตระกูลฟ่านแล้วใช่ไหม ซึ่งมันก็ยังมีศัตรูคนสำคัญหนีรอดออกไปได้ หนำซ้ำยังเป็นตัวการหลักของเรื่องราวทั้งหมดอีกด้วย ”
“ เพราะนายท่านได้ผูกเส้นใยแห่งกรรมไว้กับศัตรูคนนี้อย่างแน่นหนา ข้าจึงสัมผัสได้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ดับสูญไปในมหาสงครามครั้งนั้น ” เสวี่ยหลงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพราะการสังหารศัตรูคนนี้คือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของมัน
“ ผู้อาวุโสเสวี่ยหลง ไม่ใช่ว่าข้าเกรงกลัวศัตรู แต่เรื่องความแข็งแกร่งของข้า…. ”
เทพกระบี่รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี ในเมื่อศัตรูเป็นถึงคู่ปรับคนสำคัญของจักรพรรดิอสูรกระบี่ ก็คงมีพลังไม่ด้อยไปกว่ากันนัก นี่มันเกินความสามารถของเขาไปไกลโข
“ ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าต้องไปรนหาที่ตายอย่างไร้ค่าแน่นอน พวกเรายังมีเวลาอีกมากที่จะส่งเสริมเจ้าให้กลายเป็นจักรพรรดิอสูรกระบี่คนที่สอง จากนั้นก็ค่อยเริ่มต้นแก้แค้นก็ยังไม่สาย ” เสวี่ยหลงพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ไหนๆก็รอมาเกือบหนึ่งล้านปีแล้ว ให้รอต่อไปอีกไม่กี่หมื่นปีจะเป็นไรไป
ได้ยินแบบนั้น เทพกระบี่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกคาใจอยู่
นั่นคือ การที่จักรพรรดิเทพยุคบรรพกาลองค์หนึ่ง จะสามารถหลบซ่อนตัวจากสายตาของเต๋าแห่งสวรรค์และมหาเทพสิบกว่าองค์ที่เคยปกครองแดนสวรรค์แต่ละยุคสมัยได้งั้นเหรอ
บางทีเรื่องนี้…อาจจะไม่ง่ายดายเหมือนอย่างที่ผู้อาวุโสเสวี่ยหลงคิดก็ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...