ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 135

ตอนที่ 135 หมดหนทาง

ฉ่ายเวินก็เข้าวังแล้วเช่นกัน นางพักอยู่ที่หอหลันฮว่าข้างตำหนักฉ่ายเหว่ย เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกับชูเซี่ย

เดิมทีหลี่เฉินเย่นคิดจะแต่ตั้งนางเป็นจวิ้นจู่ (พระองค์หญิง) แต่นางปฏิเสธ นางบอกว่าได้ยินแบบนี้ก็ดีใจมากแล้ว ไม่อยากเหน็ดเหนื่อยเพราะชื่อตำแหน่งลวง หากถูกแต่งตั้งเป็นพระองค์หญิงก็ต้องถูกบังคับด้วยกฎเกณฑ์ของวังหลวง ทำให้ไม่อาจสงบจิตสงบใจได้ หลี่เฉินเย่นรักและเอ็นดูนางจึงได้แต่ทำตามคำขอ แต่การอยู่ในวังแบบไร้ชื่อไร้ฐานะแบบนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร ดังนั้น ในใจตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการเรื่องแต่งงานให้นางโดยเร็ว ทั้งยังแต่งกับตระกูลที่ยิ่งใหญ่ และนับว่าเป็นการทำตามคำสั่งเสียก่อนตายของอาจารย์

ฉะนั้น วันที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ เขาจึงเชิญหลี่ซี่เข้าวัง

ตอนนี้หลี่ซี่เป็นรองเสนาบดีกรมการกลาโหม เพิ่งเข้ารับตำแหน่งทางราชการก็งานรัดตัวเสียแล้ว เขานับว่าเป็นชายที่หาได้ยากในแคว้นเหลียง อายุได้ยี่สิบต้น ๆ ก็ได้ขึ้นเป็นรองเสนาบดีแล้ว รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา เก่งทั้งบุ๋นบู๊ หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดที่ไม่อยากแต่งกับเขา

เพียงแต่เรื่องแต่งงานของเขานั้นล่าช้า ยังไม่ได้กำหนดแน่นอน และนั่นทำให้เสนาบดีหลี่เป็นกังวล

หลี่เฉินเย่นจงใจจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักฉ่ายเหว่ย ทั้งสองดื่มเหล้าเคล้าความใน

พอดื่มไปได้สามแก้ว หลี่เฉินเย่นวางแก้วสุราลงแล้วขยิบตาให้ชูเซี่ย ชูเซี่ยเข้าใจทันทีจึงสั่งให้เชียนซานออกไป

หลี่ซี่เองก็เป็นคนเข้าใจง่าย รู้ว่าฮ่องเต้เรียกหาเพื่อพูดคุยเรื่องส่วนตัวกับเขา ไม่เช่นนั้นคงไม่จัดอาการที่กินตามปกติทั่วไปในแต่ละวันเช่นนี้

หลี่เฉินเย่นเอ่ยถาม "ระหว่างเจ้ากับฉ่ายเวินตกลงเป็นอย่างไรกันแน่ ตอนที่อยู่ในจวน พวกเจ้าก็ไปมาหาสู่กันแบบมีลับลมคมนัยมาก ทำไมหลังจากฉ่ายเวินเข้าวังแล้วก็ยังไม่มีข่าวอะไรเลย"

หลี่ซี่เองก็ไม่ปิดบัง กล่าวอย่างจนใจ "กระหม่อมมีใจให้แม่นางฉ่ายเวิน ฝ่าบาทน่าจะทรงทราบดี แต่เรื่องนี้มิอาจฝืนกันได้ แม่นางฉ่ายเวินอาจจะมีคนในใจแล้ว!"

หลี่เฉินเย่นอึ้งไปเล็กน้อย "เป็นไปไม่ได้หรอก ก่อนหน้านั้นนางบอกกับข้าเองว่านางชอบเจ้า หากเป็นตามที่เจ้าว่า งั้นนางชอบใครหรือ"

หลี่ซี่ยากที่จะพูด จึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูด "กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่แม่นางฉ่ายเวินออกปากปฏิเสธข้าด้วยตนเอง!"

หลี่เฉินเย่นพูดด้วยความแปลกใจ "มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ เด็กคนนี้ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้าเลย"

หลี่ซี่พูดว่า "บางทีแม่นางฉ่ายเวินเห็นว่าฝ่าบาทกำลังยุ่งกับกิจการบ้านเมือง จึงไม่อยากสร้างความรำคาญใจเพิ่มให้ฝ่าบาท อีกอย่าง บางทีเรื่องนี้สำหรับนางแล้วอาจไม่ใช่ปัญหาอะไร"

หลี่เฉินเย่นมองหลี่ซี่ "ใจเจ้าคิดอย่างไร ข้าว่าเจ้าควรให้ตื้อฉ่ายเวิน ถูกปฏิเสธเพียงครั้งเดียวก็ไม่กล้าก้าวไปต่อ ไม่เหมือนนิสัยเจ้าเลยนะ!"

หลี่ซี่ยิ้มอย่างขมขื่น "ฝ่าบาท มีคำที่กล่าวเอาไว้ว่าเรื่องความรู้สึกเป็นสิ่งบังคับกันไม่ได้อย่างยิ่ง แม่นางฉ่ายเวินไม่ชอบกระหม่อม ต่อให้กระหม่อมทำอะไรไปมากเท่าไหร่ก็ไม่ซาบซึ้งหรอกพ่ะย่ะค่ะ ตรงกันข้าม นางจะรังเกียจกระหม่อมเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น กระหม่อมก็เป็นคนอารมณ์ร้อน แม่นางเป็นคนตรงไปตรงมา ยังจะให้กระหม่อมตามตื้ออย่างนั้นหรือ"

หลี่เฉินเย่นส่งเสียงอืม จากนั้นก็พูดปลอบ “แน่นอน เรื่องความรู้สึกก็เป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้ น่าสงสารเสียจริง ข้ายังคิดจะยกศิษย์น้องให้เจ้าอยู่ดี เจ้าเป็นคนที่ข้าสนับสนุน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นชายที่สามารถฝากชีวิตไว้ได้ตลอดชีวิตคนหนึ่ง ศิษย์น้องไม่รู้จักชื่นชมเจ้า นับว่าเป็นการสูญเสียของนาง!”

หลี่ซี่สบสายตากับหลี่เฉินเย่นโดยตรงแล้วกล่าวอย่างค่อนข้างลึกซึ้ง “แม่นางฉ่ายเวินเคยพูดแล้ว นางอยากแต่งกับชายที่ดีที่สุด กระหม่อมจะเอ่ยถามเองก็ใช่เรื่อง!”

หลี่เฉินเย่นไม่คิดเช่นนั้น “โลกนี้มีชายที่ดีที่สุดด้วยหรือ คนที่ดีกับตนเอง ก็คือชายที่ดีที่สุด คนอื่นล้วนแต่ไร้ค่า หากไม่อาจรักนางได้ ก็ไม่ควรฝากฝังชีวิตไว้”

หลี่ซี่เห็นว่าหลี่เฉินเย่นไม่เข้าใจในความคิดของเขาและไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่พูดเบา ๆ “ที่ฝ่าบาทตรัสมาก็มีเหตุผล!”

หลังจากลี่สวินกลับไปแล้ว ชูเซี่ยก็เข้ามาถามหลี่เฉินเย่น “เป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาทั้งสองมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์บ้างหรือไม่”

หลี่เฉินเย่นส่ายหน้าด้วยความกลัดกลุ้มนิด ๆ “หลี่ซี่บอกว่าฉ่ายเวินปฏิเสธเขา”

ในการคาดคะเนของชูเซี่ย ความจริงก่อนหน้านั้นหลี่เฉินเย่นเรียกหลี่ซี่เข้าวัง นางก็รู้เรื่องนี้ได้อย่างไม่ต้องถามเลย แน่นอนว่าไม่มีหวัง แต่นางยังโอบอุ้มความหวังเอาไว้ หรือไม่นางก็อ่านความคิดฉ่ายเวินผิด แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าก่อนหน้านี้คำพูดที่ฉ่ายเวินบอกกับนางว่าชอบหลี่ซี่เป็นเพียงเรื่องโกหก เพื่อใช้เบี่ยงเบนความสนใจนางกับหลี่เฉินเย่น

ชูเซี่ยมองหลี่เฉินเย่น “ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าที่ฉ่ายเวินไม่ยอมรับหลี่ซี่ เป็นเพราะเจ้าหรือเปล่า”

แต่หลวี่หนิงกลับมีท่าทีต่อชูเซี่ยเย็นชาอย่างมาก เขาเป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าซือคง เคารพใต้เท้าซือคงอย่างยิ่งมาโดยตลอด ขุนนางใหญที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งท่านนี้ อีกทั้งผ่านฮ่องเต้มาสามรัชสมัย ไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นหลวี่หนิงในฐานะที่เป็นศิษย์จึงไม่พึงพอใจชูเซี่ยอย่างมาก

แต่เพราะเป็นคำสั่งของหลี่เฉินเย่น เขาจึงไม่แสดงทีท่าไม่พอใจต่อชูเซี่ยมากนัก แต่ท่าทีของเขาก็เย็นชามากอย่างไร้เหตุผล

ส่วนชูเซี่ยก็เข้าใจดี ทุก ๆ วันนางถือตำราแพทย์นั่งอ่านที่ระเบียงของตำหนัก ตำราแพทย์พวกนี้ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่เอามาจากคลังหนังสือของสำนักหมอหลวง บางเล่มเชียนซานก็เอามาจากจวนอ๋องมากให้นาง แต่ละวันนอกจากอยู่เป็นเพื่อนหลี่เฉินเย่นแล้ว นางก็อ่านหนังสือ

หากเป็นคนที่ไม่สนใจสิ่งใด ชีวิตก็เป็นดั่งภาพวาดที่วาดไปอย่างอิสระเสรี

แต่ถึงแม้นางอุดหูเอาไว้แล้ว เสียงข่าวโคมลอยข้างนอกก็ยังเข้าหูนางอยู่ดี

วันนี้นางกำลังนอนกลางวันอยู่บนตั่ง ได้ยินเสียงนางกำนัลที่อยู่ข้างนอกกระซิบคุยกัน บอกว่าใต้เท้าซือคงนำขุนนางนับร้อยหยุดว่าราชการ ตอนนี้อัครมหาเสนาบดีทั้งสองกำลังไล่เยือนชักชวน จัดการสะสางงานให้ฮ่องเต้ แต่ได้ข่าวว่าขุนนางจำนวนมากเมินเฉย เงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียวก็คือ หลี่เฉินเย่นต้องแต่งตั้งชูเซี่ยเป็นไท่เฟย หรือไม่ ชูเซี่ยสามารถขอออกจากวังไปบำเพ็ญเพียรได้

เสียงของนางกำนัลเบามาก แต่ในเวลานี้ชูเซี่ยฟื้นฟูพลังวิญญาณกลับมาได้เต็มที่แล้ว ดังนั้น ได้ยินคำพูดทั้งหมดที่พวกนางพูด นางปิดหนังสือ นวดหว่างคิดอย่างค่อนข้างล้า

เชียนซานนั่งลงข้างนาง แต่เชียนซานไม่ได้ยินส่งที่นางกำนัลพูดคุยกัน พอเห็นนางมุ่นคิ้ว ก็คิดว่าตาของนางล้า จากนั้นจึงได้กล่าวว่า “อ่านมาทั้งเช้าแล้ว พักผ่อนสักหน่อยเถอะเพคะ”

ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้น บนหน้าผากของนางมีรอยแผลเป็นจาง ๆ รอยแผลเป็นนี้คือรอยที่เกิดจากตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนตบตีนางจนล้มกระแทกกับมุมเก้าอี้ ผมที่ปกหน้าทั้งหมดถูกรวบขึ้น ดังนั้นจึงเห็นรอยแผลเป็นนี้ได้ชัดมาก เชียนซานมองรอยแผลเป็นของนางอย่างมึนงงแล้วถอนหายใจเล็กน้อย

แสงอาทิตย์ยามฤดูร้อนสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่าง ละอองในฝุ่นแสงแดดล่องลอยไปมา วันที่ร้อนและยาวนานเช่นนี้ทำให้ชูเซี่ยนึกถึงช่วงเวลาในวัยเยาว์ การเรียนแพทย์เป็นสิ่งที่นางมุ่งมั่นปรารถนามาตั้งแต่เด็ก แต่ความจริงแล้วบิดาของนางไม่เห็นด้วย บิดาหวังจะให้นางเป็นศิลปิน ดังนั้นในตอนนั้นจึงบังคับให้นางเรียนเปียโน แต่เป็นตายอย่างไรนางก็ไม่ยอม แอบซ่อนตัวอยู่ห้องใต้หลังคา ตรงมุมห้องใต้หลังคามีรูเล็ก ๆ อยู่หนึ่งรู นางมองส่องแสงแดดจากรูนั้นจากห้องใต้หลังคาอันมือสลัว ท่ามกลางแสงแดดก็มีละอองฝุ่นลอยไปมาแบบนี้เช่นกัน

ในช่วงเวลานั้น นางรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างตนเองก็ไม่มีทางยอม แต่เรื่องเรียนเปียโนถึงอย่างไรก็ต้องเรียนอยู่ดี ต่อให้วันนี้หลบหลีกได้ แต่วันพรุ่งนี้ก็หลบไม่ได้อยู่ดี

และในตอนนี้ นางเมือนจะเผชิญกับปัญหาแบบเดียวกัน นางหลบอยู่ในตำหนักฉ่ายเหว่ย ปิดหู ปิดตา คิดว่าสามารถหลบลมฝนข้างนอกได้ แต่ในใจนางรู้แจ้งแจ่มชัด ไม่ว่าจะยอมหรือไม่ สุดท้าย นางก็ไม่มีสิทธิ์เลือกอยู่ดี นางต้องเผชิญหน้า และต้องจากไป!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า