ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 67

ตอนที่ 67 ความรักที่เศร้าหมอง

หลังจากพายุฝนในวันนั้นก็เป็นเรื่องตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว

วันนี้เมื่อชูเซี่ยเดินทางมาที่โรงหมอ จูเก๋อหมิงซึ่งหันมาเห็นนางก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักอกหนักใจ “เจ้าตามข้าไปที่จวนอ๋องหน่อยเถิด อาการของเฉินเย่นไม่ค่อยดีเท่าใดนัก”

ชูเซี่ยหัวใจหล่นวูบแต่นางก็ปั้นหน้าเรียบเฉยยามที่เอ่ยถามอีกฝ่าย “อาการบาดเจ็บของเขายังไม่ดีขึ้นหรือเจ้าคะ”

จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ บาดแผลของเขาใกล้จะหายดีแล้วล่ะ แต่ขาทั้งสองข้างของเขามีอาการอัมพาตเล็กน้อย เรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี”

ชูเซี่ยรู้ดีว่าเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมเกิดขึ้น เพราะเลือดลมของเขายังไหลเวียนไปเลี้ยงขาได้ไม่ค่อยดีนัก นางทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเดินไปแบกกระเป๋ายาประจำตัว “ไปกันเถิด!”

พระอาทิตย์ยามเช้าในวันนี้ส่องแสงแดดอบอุ่น ท้องฟ้าก็สีฟ้าโปร่งใสดูสบายตาราวกับว่าสายฝนเมื่อสองวันก่อนได้ทำการชำระล้างอากาศและความขุ่นมัวไปจนหมดจดแล้วเหลือไว้เพียงอากาศที่แสนบริสุทธิ์

เมื่อชูเซี่ยเดินเข้ามาภายในห้องของหลี่เฉินเย่นนางก็เห็นว่าหลี่เฉินเย่นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าเขามีเคราขึ้นจางๆเขียวครึ้ม ใบหน้าซีดขาว ดวงตาคมเย็นยะเยือก ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเฉยชา

เมื่อหลี่เฉินเย่นหันมาเห็นชูเซี่ย ก็พยักหน้าเล็กน้อย “เจ้ามาแล้วหรือ!”

ชูเซี่ยรู้สึกลำคอตีบตันกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ!”

“ไม่ต้องมากพิธี” เขาปัดมือเล็กน้อย ดวงตาที่ฉายแววเย็นยะเยือกเมื่อครู่จางหายไปเหลือไว้เพียงแววตาของความไม่สบายใจ “เจ้ามาดูอาการให้ข้าหน่อย ขาของข้าเป็นอย่างไรกันแน่”

ชูเซี่ยเดินเข้าไปใกล้เขา หญิงสาวหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ใกล้เสียจนนางได้กลิ่นกายของเขาได้ชัดเจน ชัดเจนเสียจนนางหวนนึกย้อนไปถึงเรื่องราวก่อนที่นางจะตายจากร่างหลิวหยิงหลงไป

วันนั้นก็มีอากาศโปร่งใสเช่นวันนี้ ในห้องนอนห้องนี้ที่นางเคยมอบเก้าอี้รถเข็นให้แก่เขา นึกถึงยามที่เขาโอบกอดนางไว้ จุมพิตเจือความหอมหวานและร้อนแรงเสียจนนางแทบจะละลายกลายเป็นไอน้ำ

นางพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเต็มหน่วยใกล้จะหยดลงมาอยู่รอมร่อ หญิงสาวคุกเข่าลงจากนั้นก็ค่อยๆเอื้อมมือไปพับขากางเกงขึ้น จากนั้นมือของนางก็ชะงักกึก ขาของเขาในยามนี้ต่างจากเมื่อสามปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลือเค้าของขาที่ทั้งขาวและละเอียดเหมือนเมื่อก่อน ยามนี้มันเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นมากมาย ทั้งน่าเกลียด น่าหวาดกลัวและน่าตกใจยิ่ง

“บาดเจ็บจากสนามรบหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยเสียงแหบพร่า พยายามอย่างยิ่งที่จะข่มอาการหวาดกลัวและเจ็บปวดที่ตีตื้นขึ้นมา

หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเป็นคนทำมันเอง ขาคู่นี้มันทำให้คนรักของข้าต้องตาย!”

ชูเซี่ยตะลึง ความโศกเศร้าเสียใจและความโกรธทำให้กำแพงอารมณ์ที่นางพยายามจะสกัดกั้นถล่มลงมาไม่เหลือดี หญิงสาวผุดลุกขึ้นเงื้อมือตบใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเต็มแรง น้ำตาของนางไหลลงมาอาบแก้ม จากนั้นก็ตะโกนใส่เขาราวกับคนบ้า “ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ!”

หลี่เฉินเย่นโกรธจัด หลี่เฉินเย่นตวัดสายตาของตนมองนางด้วยแววตาอันตรายและเย็นเฉียบ แต่เมื่อเขาดวงตาเขาสบเข้ากับดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยน้ำตาและแววตาเจ็บปวดก็ตะลึงงันก็สีหน้าจะกลายเป็นระแวงสงสัยจากนั้นก็กลายเป็นประกายความหวังบางอย่าง หลี่เฉินเย่นไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เขาเพียงใช้ดวงตาคมดำขลับมองที่นางนิ่งๆ

ชูเซี่ยรู้สึกราวกับว่าความอดทนของนางสิ้นสุดลงแล้ว นางอยากเดินเข้าไปตบตีเขามากกว่านี้ ตบเขาให้แรงกว่านี้ บาดแผลมากมายที่ขาทำให้นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าหลายปีมานี้เขาทำอะไรกับมันบ้าง แต่หญิงสาวก็ได้แต่เม้มปากและหันหลังวิ่งออกไปจากห้องแทน

ในชั่วขณะที่นางหมุนตัวนางคล้ายกับว่าเห็นว่าใบหน้าของจูเก๋อหมิงซีดเผือดจับจ้องมาที่นาง

นางไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว ความจะแตกก็ช่าง นางเพียงแค่ไม่อยากจะต้องเผชิญหน้ากับแผลที่ขาของเขาเพียงเท่านั้น นางทนเห็นผู้ชายคนนั้นใช้วิธีทำร้ายร่างกายตนเองเพื่อนางไม่ได้

ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเขาเคยรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ที่ใช้ร่างกายตัวเองทดลองเข็ม นางเข้าใจแล้วว่าเขาโกรธนางเพียงใดยามที่รับรู้ว่านางทำร้ายร่างกายตนเอง

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นซีดขาว หลี่เฉินเย่นรีบลุกขึ้นก็จะวิ่งตามนางออกไปคล้ายคนเสียสติ

แม้ว่ายามนี้ขาทั้งสองข้างของเขาจะไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แต่ทว่าการที่เขาใช้กำลังภายในก็สามารถตามหญิงสาวทันได้ไม่ยาก

ในที่สุด หลี่เฉินเย่นจับข้อมือของชูเซี่ยไว้ได้ หลี่เฉินเย่นจับไหล่บอบบางไว้ก่อนจะบังคับให้นางหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาคมมองหญิงสาวที่มีน้ำตานองหน้าทั้งยังพยายามเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเขา

หลี่เฉินเย่นมองนางอย่างสับสนจากนั้นก็ค่อยๆเอ่ยถามนางเสียงแหบพร่า “เจ้าชื่ออะไร”

ชูเซี่ยกัดฟันไม่ตอบ น้ำตาของนางยังคงไหลไม่ขาดสายร่วงลงสู่พื้นทีละหยดๆ นางเสมองไปที่ต้นไม้สูงที่มีใบไม้เรียวยาวสีเหลือง ใบของพวกมันทำให้นางนึกถึงแผนเป็นทางยาวที่ขาของเขา ดวงตาของหญิงสาวทั้งแดงก่ำและเจ็บปวด

หลี่เฉินเย่นเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้นางพลางเอ่ยถามเสียงสั่น “บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าชื่ออะไร”

หญิงสาวกลั้นใจเงยหน้าขึ้นมองเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นหรือหัวใจที่เจ็บปวดทำให้ร่างกายของนางสั่นสะท้านไปหมดจนต้องกัดฟันตนเองไว้แน่น ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยประกายสิ้นหวัง จนในที่สุดนางก็ตัดสินใจเอ่ยปากออกไปด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ข้าชื่อชูเซี่ย!”

ภายใต้ท้องฟ้าที่สว่างสดใสราวกับว่ามีสายฟ้าฟาดลงมาสายหนึ่ง เป็นสายฟ้าที่ทรงพลังและหาดลงมากลางใจของหลี่เฉินเย่นอย่างรุนแรง หลี่เฉินเย่นยืนมองนางนิ่งๆ ในความทรงจำของเขาผุดภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยิ้มแย้มให้เขาอย่างร่าเริง “ข้าชื่อชูเซี่ย!”

รูปโฉมของนางเขาจำไว้ในใจไม่เคยลืม แต่ทว่าสิ่งที่สลักลงไปตรงกลางใจของเขาอย่างล้ำลึกและไม่เคยลืมเลือนคือคำพูดของนางต่างหากเล่า

“เจ้าชื่อชูเซี่ย?” หลี่เฉินเย่นถามนาง “เจ้าชื่อว่าชูเซี่ยหรือว่าเจ้าเป็นชูเซี่ย (โรคระบาด)กันแน่” หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะ หัวสมองก็ว่างเปล่า ราวกับว่าความสุขที่เขาพยายามไขว่คว้ามันมาอยู่ในกำมือของเขาแล้ว แต่ทว่าเขาก็กลัวเกินกว่าที่จะคลายฝ่ามือของตนเองเพื่อมองความสุขที่ตนเองกำไว้ในมือ เขากลัวเหลือเกินว่ามันจะกลายเป็นคมมีดที่ย้อนกลับมาทำร้ายเขาอย่างสาหัสอีกครั้ง

มือของหลี่เฉินเย่นสั่นสะท้านเอื้อมมือไปแตะบั้นเอวตนเอง ที่สายดาดเอวของเขามีกริชเล่มเล็กอยู่เล่มหนึ่ง หลี่เฉินเย่นดึงกริชออกจากปลอกจากนั้นก็แทงเข้าไปที่ขาของตนเอง ทำให้เลือดสีแดงไหลทะลักย้อมจนกางเกงสีขาวหยกของเขาแดงฉาน

การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วมากทำให้ผู้คนที่อยู่ข้างกายไม่ทันตั้งตัว ตอนที่ตั้งสติได้เลือดก็ไหลทะลักออกมาจนเต็มไปด้วยเลือดแล้ว

ชูเซี่ยปิดปากของตนเองแน่น นางตกใจจนเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจทั้งยังพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาที่เอ่อออกมา

ชูเซี่ยกอดตอบเสี่ยวจี๋ “อย่าร้องเลยนะ ถ้าดีใจที่ข้ากลับมาจริงๆก็ควรจะยิ่มสิไม่ใช่ร้องไห้อย่างนี้”

คำพูดเช่นนี้บ่งบอกว่านางรู้สึกผิดกับพวกเขาแค่ไหน หญิงสาวหันไปเอ่ยถามมามา “ข้าค่อยอธิบายให้พวกเจ้าฟังคราวหลัง ทว่าตอนนี้ข้าอยากไปพบเขาก่อน”

มามาพยักหน้าเข้าใจ “ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะพาพระชายาไปเองเจ้าค่ะ”

ชูเซี่ยเงยหน้ามองอีกฝ่าย “มามา อย่าเรียกข้าว่าพระชายาอีกเลย คนนอกต่างก็เข้าใจว่าข้าตายไปแล้ว ท่านเรียกข้าแบบนี้ผู้อื่นจะตกใจกันหมด”

มามายิ้มทั้งน้ำตา “เป็นข้าที่สะเพร่าเองเจ้าค่ะ ได้ ได้ ข้าไม่เรียกท่านว่าพระชายาอีกแล้ว เช่นนั้นข้าเรียกว่าคุณหนูก็แล้วกันนะเจ้าคะ”

ชูเซี่ยพยักหน้า นางไม่รอมามาอีกแล้ว ร่างบางรีบร้อนวิ่งออกไปข้างนอกทันที

นางคุ้นเคยกับจวนอ๋องดี สามปีมานี้แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด หญิงสาววิ่งตกไปทางเรือนฝั่งตะวันตก วิ่งไปจนถึงห้องนอนของหลี่เฉินเย่น ใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูปก็ถึง

เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้มีเพียงข้ารับใช้ในเรือนจื่อยี่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็น คนนอกเรือนนี้ไม่มีทางได้รู้เรื่องตัวจริงของนาง จูเก๋อหมิงสั่งให้ปิดเป็นความลับไว้แล้ว ดังนั้นแม้แต่หมอหลวงก็ยังไม่รู้ถึงอาการบาดเจ็บของหลี่เฉินเย่นด้วยซ้ำ แม้กระทั่งโหร่วเฟยเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้

จูเก๋อหมิงนั่งอยู่บนโต๊ะแปดเซียนด้วยจิตใจกระวนกระวาย มือของเขาที่ถือถ้วยชาไว้หมุนถ้วยไปมาอย่างไม่สบายใจ

เมื่อเห็นว่าชูเซี่ยเข้ามา เขาก็จ้องมองชูเซี่ยอย่างตกใจก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “เจ้ามาแล้วหรือ!”

ชูเซี่ยพยักหน้ามองไปที่ร่างของหลี่เฉินเย่นที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เขายังไม่ฟื้นขึ้นมา ใบหน้ายังคงซีดเผือดไร้สีเลือด แม้แต่ริมฝีปากของเขาก็ยังซีดขาว ดวงตาปิดสนิท แม้ในยามที่ไม่ได้สติคิ้วของเขาก็ยังขมวดแน่น คางของเขามีรอยเขียวครึ้ม “เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

จูเก๋อหมิงตอบคำถามของนาง “ก็เป็นเหมือนที่ผ่านมา เดี๋ยวเขาก็จะดีขึ้นมาเอง”

ชูเซี่ยเดินมานั่งที่แปดเซียนจ้องมองจูเก๋อหมิง นางรู้ดีว่าคงไม่อาจปิดบังตัวตนที่แท้จริงยามอยู่ต่อหน้าจูเก๋อหมิงได้อีกแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คิดจะอ้อมค้อมอีก “สามปีมานี้ เขาผ่านมาอย่างทรมานเช่นนี้หรือ”

จูเก๋อหมิงมองหน้านาง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยถ้อยคำที่ไม่อาจกล่าวออกมาได้ “ทรมาน? เขาเคยบอกกับข้าว่า หัวใจของเขาตายไปพร้อมกับเจ้านานแล้ว คนที่ไม่มีหัวใจจะรู้จักความทรมานได้อย่างไรเล่า”

ใบหน้าของชูเซี่ยเต็มไปด้วยความขมขื่น นางเอ่ยเสียงเบาแทบจะกระซิบ “ข้าไม่นึกว่าเขาจะกลายเป็นเช่นนี้”

จูเก๋อหมิงบันดาลโทสะออกมา “เจ้าไม่สมควรทำร้ายตนเองเพื่อช่วยเขาแต่แรก เพียงเพราะเจ้าช่วยเขาจนตนเองต้องมาตาย เจ้าคิดว่าเขาจะยังมีชีวิตเยี่ยงคนปกติได้อีกงั้นหรือ”

ชูเซี่ยนิ่งงันไป ก่อนที่จะกลายเป็นสีหน้าจริงจัง “ต่อให้ข้าไม่ใช้ร่างกายตนเองทดลองฝังเข็ม ข้าก็ต้องตายอยู่ดี ข้าไม่ได้ตายเพราะช่วยเขาเสียหน่อย” เดิมทีวิญญาณของนางกับร่างของหลิวหยิงหลงไม่อาจเข้ากันได้อยู่แล้ว จะตายช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องตาย แต่ทว่าหลี่เฉินเย่นกลับคิดว่านางตายเพราะช่วยชีวิตเขาทำให้ตลอดระยะเวลาสามปีมานี้หลี่เฉินเย่นต้องทรมานกับความรู้สึกผิดเจียนตาย 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า