ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 69

ตอนที่ 69 จริงใจ

“ที่แท้เจ้าก็ยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นภรรยาข้า!” หัวใจของเขาท่องเนื้อเพลงที่นางร้องออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวใจปวดปลายจนหายใจแทบไม่ออก

เมื่อชูเซี่ยร้องเพลงจบ หัวใจก็รู้สึกยากจะบรรยาย

เพราะเช่นนี้ยามนี้ร่างสูงนอนอยู่บนเตียง ส่วนร่างบอบบางของนางก็นอนอยู่บนตั่งยาวริมหน้าต่าง ทั้งสองคนนอนอยู่เช่นนั้นตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกเลยทั้งคืน

จูเก๋อหมิงมาที่จวนอ๋องอีกครั้งในย่ำรุ่งวันที่สองเพื่อตรวจอาการบาดเจ็บให้กับหลี่เฉินเย่น “ระยะนี้อย่าเพิ่งลงจากเตียงก่อนล่ะ มิฉะนั้นแผลจะสมานตัวกันยาก”

หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงเรียบ “บาดแผลนี้หายดีแล้วเดี๋ยวก็มีบาดแผลอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก”

ชูเซี่ยนั่งเงียบๆอยู่อีกฟากหนึ่งไม่ได้เอ่ยออกมาเพียงแต่เลิกคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น

จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “ทางวังหลวงส่งคนมาถามไถ่อาการของเจ้าแล้ว ถ้าหากเจ้ายังไม่อยู่ยิ่งนิ่งๆรักษาแผลของตนเองให้หายดีแล้วล่ะก็ฮ่องเต้และฮองเฮาจะต้องร้อนพระทัยมากเป็นแน่”

หลี่เฉินเย่นจ้องมองจูเก๋อหมิงนิ่งๆก่อนเอ่ยถาม “เจ้ารู้ตัวตนของนางตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่”

เมื่อค่ำวานเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างชูเซี่ยและจูเก๋อหมิงทุกคำ เพราะเหตุนั้นเขาจึงรู้สึกขุ่นเคืองจูเก๋อหมิงขึ้นมา ปากบอกว่าตนเองเป็นสหายรักของเขาแต่กลับเฝ้าเก็บชูเซี่ยไว้ข้างกายตนเอง รู้ตั้งแต่แรกว่าชูเซี่ยกลับมาแต่ก็ไม่คิดจะบอกเขาสักคำ สหายรักงั้นหรือ ดูท่าจะไม่ใช่อย่างที่พูดแม้แต่น้อย

จูเก๋อหมิงปรายตามองชูเซี่ย นางยังคงก้มศีรษะลงไม่พูดไม่จา ในมือของนางถือเข็มอยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเข็มยาวที่นางไว้ใช้ป้องกันตนเอง แต่ทว่าในขณะนี้นางอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ที่ใดจึงหยิบเข็มขึ้นมาถือเล่นก็เท่านั้น

หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ต้องมองนางหรอก นางกลายเป็นหญิงใบ้ไปเสียแล้วล่ะ”

จูเก๋อหมิงถอนหายใจ “เจ้ารู้แล้วอย่างไร ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไร”

หลี่เฉินเย่นหันไปหาชูเซี่ยก่อนเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ “เจ้าออกไปก่อน ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”

ชูเซี่ยไม่คิดจะต่อปากต่อคำนางลุกขึ้นหันกายจากไปแต่โดยดี

จูเก๋อหมิงส่ายหน้าอย่างระอา “เหตุใดจึงต้องใส่อารมณ์กับนางด้วยเล่า”

หลี่เฉินเย่นมองจูเก๋อหมิงด้วยสายตาเย็นยะเยือก เข้ายังไม่ลืมเรื่องราวในช่วงหลายวันมานี้ สายตายามที่จูเก๋อหมิงมองชูเซี่ยเป็นประกายเช่นไรเขายังไม่ลืม จูเก๋อหมิงรู้อยู่แก่ใจว่าเขารักชูเซี่ย แต่ก็ยังเห็นแก่ตัวไม่ยอมบอกความจริงแก่เขา

จูเก๋อหมิงมองไปที่สหายของตนอย่างสงบ “ไม่ต้องเดาส่งเดชไปหรอก ถูกของเจ้า ข้าชอบนาง”

หลี่เฉินเย่นยิ้มเยาะ “ในที่สุดเจ้าก็กล้าเอ่ยออกมาแล้วสินะ ที่เจ้าไม่ยอมบอกข้าตั้งแต่แรกเพราะเจ้ามันเห็นแก่ตัว!”

จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “ที่ข้าไม่บอกเจ้าแต่แรกเพราะข้ารู้ว่านางมีสัมพันธ์กับจูฟางหยวนต่างหากเล่า” จากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์ที่ตนเองไปพบชูเซี่ยและจูฟางหยวนอยู่ด้วยกันในห้องนางของนางสองต่อสองทั้งยังสนิทชิดเชื้อกันอย่างยิ่งให้หลี่เฉินเย่นฟัง ที่เขาเห็นแก่ตัวไม่ยอมบอกอีกฝ่ายก็เพราะว่าไม่อยากทำลายมิตรภาพของตนเองด้วยเช่นกัน

“เจ้าก็คงคิดได้ใช่หรือไม่ว่าเมื่อสามปีก่อนนางก็รู้จักกับจูฟางหยวนอยู่ก่อนแล้ว เก้าอี้รถเข็นที่นางมอบให้เจ้าก็เป็นเก้าอี้ที่จูฟางหยวนทำเองกับมือ” จูเก๋อหมิงพูดออกมาตรงๆไร้ความปราณี

หลี่เฉินเย่นพลันขาวซีด ดวงตาคมหม่นหมองลง

“เจ้ากำลังจะบอกว่า ตั้งแต่แรกมาข้าก็ถูกนางหลอกงั้นหรือ ใช่หรือไม่ แท้จริงแล้วนางไม่เคยรักข้าเลยแม้แต่น้อย” หลี่เฉินเย่นยิ้มเย้ยหยันตนเอง “คงจะจริง ข้าก็เอาแต่นึกเข้าข้างตนเองว่านางเองก็รักข้าอย่างล้ำลึกเช่นเดียวกันกับข้า”

“เฉินเย่น นางไม่เคยหลอกลวงอะไรเจ้า เจ้าอย่าได้ลืมไปว่าแต่เดิมนางก็ไม่ใช่หลิวหยิงหลงอยู่แล้ว นางไม่ใช่ชายาของเจ้า” จูเก๋อหมิงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว

หลี่เฉินเย่นขยับยิ้มเย็นชา “จริงด้วย โชคดีที่ยังมีเจ้าเตือนสติ เพราะเจ้าเป็นคนนอกสินะจึงมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้ นางไม่เคยเป็นพระชายาของข้ามาก่อน เช่นนั้นหากเจ้าชอบนาง เจ้าก็ไปเกี้ยวนางเสียสิ”

จูเก๋อหมิงรู้สึกเอือมระอากับอีกฝ่ายเหลือเกิน “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าอะไรข้าก็ยอมให้เจ้า เจ้าควรจะรู้ไว้เสียด้วยว่านั่นเป็นเพราะข้าเห็นว่ามิตรภาพระหว่างเราสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดต่างหากเล่า!”

หลี่เฉินเย่นตั้งใจจะโต้ตอบอีกฝ่ายออกไป แต่ตอนนั้นเองที่ชูเซี่ยผลักประตูเข้ามาเสียก่อน ใบหน้าของหญิงสาวเรียบเฉย “ข้าเป็นหญิงสาวที่ออกเรือนแล้ว ต่อให้จูเก๋อหมิงจะมาเกี้ยวข้า ข้าก็ไม่อาจทรยศสามีของตนเองได้”

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นแข็งค้าง หัวสมองว่างเปล่า หัวใจของเขายุ่งเหยิงไปหมด

หัวใจของเขาขมขื่น ริมฝีปากเม้มแน่น “ในเมื่อเจ้าออกเรือนไปแล้วจะกลับมาทำไมกัน ไหนๆข้าก็นึกว่าเจ้าตายจากไปแล้วเจ้าก็ไม่ควรกลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”

ชูเซี่ยตวัดมองสายตาของผู้พูด นางไม่อาจมองออกได้ว่าเขาพูดด้วยอารมณ์เช่นไร “ข้าเคยบอกกับท่านแล้วว่าขาของท่านยังต้องใช้เวลารักษาอีกครึ่งเดือน”

หลี่เฉินเย่นตอบกลับเสียงเย็น “ไม่จำเป็น ไสหัวไปเสีย”

ชูเซี่ยขมวดคิ้ว “ท่านไม่ควรหุนหันพลันแล่นเช่นนี้”

“ข้ายังสติดีอยู่ ไม่หุนหันพลันแล่นแม้แต่น้อย ชูเซี่ย แท้จริงแล้วข้าไม่เคยติดหนี้เจ้าเลยแม้แต่น้อย ตลอดสามปีมานี้ข้านึกโทษตัวเองมาตลอดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าต้องตาย แต่ในเมื่อไม่ใช่เช่นนั้น ข้าก็ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกผิดอีกแล้ว เจ้าไม่ได้ติดค้างข้า ข้าเองก็ไม่เคยติดค้างเจ้า ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามารักษาข้าอีกแล้ว” หลี่เฉินเย่นข่มตาปิดลงก่อนจะเอ่ยเรียกจูเก๋อหมิงเบาๆ “จูเก๋อ พานางออกไปจากจวนอ๋องเดี๋ยวนี้ ข้าไม่อยากพบนางอีก”

จูเก๋อหมิงยืนขึ้นหันกายกลับมาหาชูเซี่ย “เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขาเสียหน่อย”

ชูเซี่ยส่ายหน้า “ข้าไม่ไป!”

หลี่เฉินเย่นยิ้มเย็น “เหตุใดจึงหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้ ไล่ก็ยังไม่ยอมไป เจ้าไม่เอาหน้าแล้วหรืออย่างไร กลับไปโอบกอดสามีเจ้าและผ่านช่วงเวลาดีดีด้วยกันเสียเถิด อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับข้าอีก”

“ไม่มีวิธีใดอีกแล้ว แม้กระทั่งอาจารย์ข้าก็บอกว่าไม่มีวิธี”

“เช่นนั้น...” เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไปหมด “หากเจ้าตายไปอีก ครั้งนี้ก็ยังสามารถหาร่างใหม่มาเข้าสิงได้อีกใช่หรือไม่”

ชูเซี่ยส่ายหน้า “ไม่อาจเกินสามครั้ง อาจารย์ของข้ากล่าวว่าหากร่างกายนี้ไม่อาจเข้ากับวิญญาณของข้าได้ก็ไม่มีร่างใดที่วิญญาณของข้าสามารถเข้าสิงได้อีกแล้ว”

หลี่เฉินเย่นคว้าร่างของนางมาโอบกอดไว้แน่น จากนั้นก็เอ่ยอย่างตื่นตระหนก “อาจารย์ของเขาเป็นตัวอะไรกันแน่ ใต้หล้านี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่มนุษย์อย่างเราไม่สามารถล่วงรู้ได้ แค่อาจารย์ของเขากล่าวมาเจ้าก็เชื่อเขางั้นหรือ ข้าไม่เชื่อ พวกข้าเข้าวังไปหาท่านราชครูกันเถิด เขาสามารถเข้าฌานดูและรับรู้ว่าเจ้าเป็นหญิงสาวที่มาจากต่างโลก เช่นนั้นเขาต้องมีวิธีช่วยเหลือเจ้าแน่”

กล่าวจบ ร่างสูงก็ฝืนกายลุกขึ้นมาทันที

ชูเซี่ยพยายามจะหยุดเขาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ห้ามขยับส่งเดช เฉินเย่น หากท่านยังเป็นเช่นนี้อีก หลังจากครึ่งเดือนนี้ผ่านไปข้าจะจากไปทันที”

หลี่เฉินเย่นกุมมือทั้งสองของนางไว้แน่น เอ่ยขึ้นอย่างขวัญเสีย “ได้ ข้าจะไม่ขยับส่งเดชแล้ว ข้าไม่ขยับเจ้าก็ห้ามไปไหน”

ชูเซี่ยถอนหายใจ “ข้ากลับมาครั้งนี้ เดิมทีกลับมาครั้งนี้ข้าไม่นึกว่าจะมีใครล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า ข้าเพียงต้องการแค่รักษาขาของท่านให้หายดีจากนั้นก็จากไปแต่โดยดี แต่ในเมื่อท่านเป็นเช่นนี้จะให้ข้าทำใจจากท่านไปได้อย่างไร การที่ข้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันดีต่อท่านหรือไม่นะ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าอยากให้ท่านรับปากกับข้า หากถึงเวลาที่ข้าต้องจากท่านไป ท่านต้องอย่าทรมานตัวเองอีกนะรู้หรือไม่ มิฉะนั้นต่อให้ข้าตายก็คงตายไม่สงบ”

หลี่เฉินเย่นปิดปากของนางไว้ “ห้ามเจ้าพูดเช่นนี้ เจ้ากล่าวเช่นนี้ออกมาทำให้ข้าปวดใจยิ่งนัก”

ดวงตาของชูเซี่ยเปียกชื้นยามที่จ้องมองใบหน้าของเขา

นางค่อยๆเอนกายซบลงตรงไหล่ของเขานิ่งๆไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก

หลี่เฉินเย่นใช้มือข้างหนึ่งโอบนางไว้ ดวงตาคมเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเสียใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตนเองจากนรกเหาะขึ้นสรวงสวรรค์และจากสวรรค์ร่วงหล่นลงสู่ขุมนรกอีกครั้ง มายามนี้เมื่อรู้ว่านางไม่อาจอยู่กับเขาได้นานก็ราวกับว่าตกลงสู่ขุมนรกอีกครั้ง

หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องเผชิญหน้ากับมันตามลำพังอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า ความตายก็ไม่อาจพรากจากเราได้อีกต่อไป”

คำมั่นสัญญาของเขา ถ้าหากเป็นเมื่อสามปีก่อนชูเซี่ยจะต้องมีความสุขมากๆ แต่ทว่าตอนนี้เมื่อฟังเช่นนี้นางกลับรู้สึกปวดใจยิ่งนัก

นางไม่ต้องการให้เขาร่วมเป็นร่วมตายกับนาง นางแค่อยากให้เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเพียงเท่านั้น นางเป็นหญิงสาวที่มาจากยุคที่แตกต่างกับเขา เดิมนางก็ไม่สมควรมาอยู่ตรงนี้อยู่แล้ว ถ้าหากไม่มีนางแล้วล่ะก็ชีวิตของเขาก็คงมีแต่ความสุขสบาย ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปวันๆไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจะในฐานะเชื้อพระวงศ์ ในฐานะบุตรชายกษัตริย์ เขาสามารถตบแต่งภรรยาได้มากมาย ชีวิตที่เหลือของเขาจะต้องเต็มไปด้วยความสุขแน่ๆ

แต่ทว่าชีวิตของนาง ไม่ว่าจะดิ้นรนเพียงใดก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปช่วงเวลาเดิมได้อีกต่อไปแล้ว

อีกทั้งชูเซี่ยในโลกใบนี้ นางตระหนักได้ว่าชีวิตของนางไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่นางไม่คาดฝัน นางไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีอะไรรอนางอยู่ในภายภาคหน้า เส้นทางของนางจะขรุขระเพียงใดนางก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ สิ่งเดียวที่นางทำได้คือแค่พยายามคลำทางไปข้างหน้าในเส้นทางที่มืดมิดที่รอนางอยู่เท่านั้น 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า