ตอนที่129บัตรเชิญของเวินอ๋อง
สีหน้าของโม่ฉีหมิงมืดครึ้มลงเขาค่อยๆเปิดหน้าต่างออกเผยใบหน้าที่ปกปิดความหยิ่งยโสไม่มิด“ไม่ทราบว่าในเมืองหลวงตระกูลเย่คนไหนจะแจกเงินมงคลให้เปิ่นหวาง?”
พ่อบ้านคนนั้นรู้จักโม่ฉีหมิงชั่วขณะที่เห็นเขาก็รู้ว่าตัวเองได้เหยียบกับระเบิดเข้าแล้วคาดไม่ถึงว่าจะเหยียบลงบนหัวเขาเข้าเพียงแค่เห็นสายตาคู่นั้นของเขาความรู้สึกกลัวอาการชาที่หนังศีรษะก็จู่โจมสู่หัวใจ
“คือคือเย่กั๋วกงตระกูลเย่”พ่อบ้านพูดอ้ำๆอึ้งแล้วก้าวถอยหลังไปสองก้าวโม่ฉีหมิงหัวเราะเยาะ“เย่กั๋งกงตระกูลเย่จะมีงานมงคลอะไร?ทำไมเปิ่นหวางถึงไม่รู้?”
พ่อบ้านตกใจกลัวจนก้าวถอยหลังซ้ำอีกสองก้าวเย่กั๋วกงมองผ่านผ้าไหมบนรถบนพื้นหิมะมีเงาร่างกายสูงเพรียวที่ยืนอยู่รอบตัวแพร่ความเย็นชาออกมาคือใครกันแน่ถึงกับทำให้พ่อบ้านตกใจจนต้องก้าวถอยหลัง
“นายท่าน ท่านผู้นี้คือหมิงอ๋อง”พ่อบ้านพูดบอกอยู่ข้างรถม้าของเย่กั๋วกงทำใหเย่กั๋วกงเข้าแจ่มแจ้งแต่กลับไม่พูดอะไรอีกและเปิดยกผ้าม่านรถม้าขึ้น ใบหน้าที่ชัดเจนปรากฏขึ้นในสายตาเขาสายตาเย็นชาคู่นั้นทำให้หน้าหนาวนี้เขาอดจะขดตัวด้วยความหนาวเหน็บมิได้
“แท้จริงแล้วเป็นหมิงอ๋องที่อยู่ตรงนี้ขออภัยพ่ะย่ะค่ะพรุ่งนี้เป็นวันสมรสระหว่างลูกสาวคนเล็กของข้ากับรัชทายาทเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ถนนเส้นนี้แน่นขนัดในเมื่อมีโชคได้พบหมิงอ๋องโปรดหมิงอ๋องทรงรับเงินมงคลพวกนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะถือว่าเป็นการสัมผัสบรรยากาศชื่นมื่นนี้ไม่ว่าจะเท่าไหร่คือว่าเป็นน้ำใจ”หน้าอวบอ้วนของเย่กั๋วกงเต็มไปด้วยรอยยิ้มเอาอกเอาใจ
หมิงอ๋องคนนี้แม้ว่าจะไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรแต่ว่าช่วงนี้ในราชสำนักมีข่าวว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้งฝ่าบาทใช้ให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญภายภาคหน้าจะต้องเป็นคนรุ่นหลังที่มีความสามารถ
โม่ฉีหมิงไม่มองแม้กระทั่งเงินมงคลที่พ่อบ้านหยิบส่งมาให้คิ้วขมวดถูกกันแน่น“ในเมื่อเป็นงานมงคลระหว่างคุณหนูสามตระกูลเย่กับรัชทายาทงั้นเปิ่นหวางก็ร่วมแสดงความยินดีด้วยเพียงแต่ว่าเย่กั๋วกงท่านพูดจาโอ้อวดแยกเงินกลางถนนอย่างนี้ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูฝ่าบาทเปิ่นหวางเกรงว่าท่านจะเข้าใจผิดได้”
เมื่อได้ฟังที่โม่แหมิงกล่าวในใจของเย่กั๋วกงก็บีบรัดแน่นเป็นตัวเขาเองที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบที่เขาพูดโม้โอ้อวดแจกเงินมงคลออกไปเพื่อที่จะเป็นคนรุกก่อนทำให้ฝ่าบาทไม่มีทางหนีทีไล่แต่ว่าฟังที่โม่ฉีหมิงวิเคราะห์กลับทำให้รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
ชั่วภายในเวลาชั่วพริบตาอารมณ์บนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแต่ว่าสุดท้ายก็ปรับสีหน้าเป็นสงบนิ่งเอ่ยยิ้มๆว่า“เป็นข้าที่สะเพร่าเองขอบคุณหมิงอ๋องที่ตักเตือนพ่ะย่ะค่ะ”
โม่ฉีหมิงแสยะยิ้มมองไปที่เย่กั๋วกงและจ้องไปที่ถุงเงินที่อยู่ในมือพ่อบ้านประมาณสามวิแล้วก็รีบเอ่ยขึ้นว่า“ช่วงนี้ท่านพ่อกำลังสอบสวนหาพวกแสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองขุนนางกังฉินหวังว่าเย่กั๋วกงจะไม่เป็นหนึ่งในนั้น!”
เบ้าตาของเย่กั๋วกงหดตัวลงฉับพลันโม่ฉีหมิงเป็นคนริเริ่มตรวจสอบเรื่องแม่ทัพต้วนรับเงินสินบนทุกวันนี้ถูกเนรเทศหลิงหนานไม่สามารถที่จะกลับมาเมืองหลวงได้ตลอดชีวิตหรือว่าไม่แน่ว่าคนถัดไปจะเป็นตัวเขาหรือว่าโม่ฉีหมิงกำลังตั้งใจที่จะเตือนสติข้าอยู่กันแน่?
เมื่อโม่ฉีหมิงพูดเสร็จก็รีบหมุนตัวขึ้นรถม้าไปนั่งลงบนรถม้าด้วยสายตาสงบนิ่งข้างนอกไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงฉินหยิ่นเอ่ยว่า“เย่กั๋วกงช่วยหลบทางให้หน่อยได้หรือไม่?”
เมื่อเย่กั๋งกงที่กำลังใจลอยได้ยินสติก็กลับมาอย่างรวดเร็วคนรับใช้ฝ่ายตรงข้ามได้ทำสัญญาณมือกลุ่มพลทหารและม้าก็รีบหลีกทางพอที่จะให้รถม้าแล่นผ่านไปได้รถม้าของโม่ฉีหมิงผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงไว้เพียงภาพด้านหลังของรถม้าเท่านั้น
เมื่อกลับถึงจวนหวางก็เป็นเวลาเที่ยงตรงเปิดผ้าม่านแล้วเดินเข้าไปที่ห้องโถงหลักเห็นเพียงโล่หวินหลานที่นั่งเฝ้าขนมถั่วเหลืองอยู่ที่โต๊ะอาหารส่วนอาหารจานอื่นนั้นเตะเพียงน้อยนิดก็รู้สึกเหมือนโดยตำมือมิปราณ“ทำไมถึงได้ไปนานนัก?ฝ่าบาททำให้ท่านลำบากใจใช่หรือไม่?”โล่หวินหลานยืดคางลองไปที่โม่แหมิงที่กำลังถอดเสื้อนอกอยู่เขาใช้น้ำร้อนล้างมือแล้วค่อยใช้ผ้าขนหนูเช็ดมือแล้วใช้มือวางไปที่เตาไฟให้อบอุ่นถึงจะนั่งลงข้างโล่หวินหลานกินข้าวเป็นเพื่อนนาง
“เมื่อกี้นี้พบเย่กั๋วกงที่ถนนทำไมแจกเงินมงคลดังนั้นจึงเสียเวลาไปสักหน่อย”โม่ฉีหมิงเอ่ยพร้อมคีบอาหารวางลงในจานของนาง
แจกเงินมงคล?โล่หวินหลานเคยได้ยินเย่หวินพูดถึงอยู่เหมือนกันก่อนที่มีงานมงคลพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายมักจะเรียกรวมตัวคนแปลกหน้าแล้วแจกเงินมงคลให้แก่พวกเขาคาดเดาว่าจะเป็นแผ่นทองแดงทั้งหมดที่ใจกว้างหน่อยก็จะให้แผ่นทองแดงผสมเศษเงินตำลึงใช้วิธีพวกนี้ป่าวประกาศให้ทุกคนทราบเพื่อให้คนทั้งเมืองแสดงความยินดีกับพวกเขาเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติของที่นี่
คนส่วนใหญ่ล้วนเต็มใจที่จะทำเรื่องพวกนี้ในเมื่อจะได้โชคมงคลและเงินตำลึง
“ดูเหมือนว่าความฝันอันสวยงามของเย่กั๋วกงคงจะแตกสลายแล้วละวันนี้ฝ่าบาทเรียกท่านเข้าพบเพราะเห็นด้วยกับการยกเลิกกฎมณเฑียรบาลอีกทั้งอนุญาตให้เย่เซียวหลัวแต่งงานกับเวินอ๋องใช่หรือไม่?”โล่หวินหลานทำเป็นไม่เห็นแครอทในจานของตัวเองโม่ฉีหมิงส่ายหน้าและวางตะเกียบลง”วันนี้ถึงแม้ว่ามองจากภายนอกจะไม่พูดอะไรแต่ว่าคงจะไม่ต่างจากที่คาดไว้เพียงแต่คงจะคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ฮองเฮาก็ออกหน้ามาพูดถึงเรื่องนี้ด้วย”
“ฮองเฮาออกปากด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?ไม่ใช่พูดกันว่าวังหลังไม่สามารถที่จะยุ่งเรื่องกับงานราชการมิใช่หรือ?ฝ่าบาทมิได้ว่ากล่าวอันใดหรอกหรือ?”โล่หวินหลานเอ่ยด้วยความข้องใจโม่ฉีหมิงกลับส่งเสียงฮึมออกมา”ฮองเฮาอยู่กับท่านพ่อเป็นเวลานานทำไมจะไม่รู้ว่าท่านเป็นคนอย่างไร?”ข้าเชื่อว่านางมีความสามารถพอที่จะทำให้ท่านพ่อไม่สามารถกล่าวโทษนางได้
“งั้นพวกเราต้องไปรึเปล่า?”โล่หวินหลานเงยหน้าจ้องตาแป๋วไปที่โม่ฉีหมิง
โล่หวินหลานพึ่งจะถามจบก็เห็นเพียงว่าโม่ฉีหมิงนั้นได้เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุดให้นางเลือกพร้อมเอ่ยว่า”ไปแน่นอนว่าต้องไปไม่น่าว่าคงจะได้เห็นเรื่องสนุกๆตำหนักตงหมิงมิได้อยู่ในเมืองเป็นอำเภอเล็กๆนอกเมืองเป็นเมืองที่ปีนี้ท่านพ่อมอบหมายให้เวินอ๋องเป็นผู้ดูแลภายหลังก็ถูกเวินอ๋องสร้างเป็นสถานที่เล่นกีฬาบนลานน้ำแข็งทุกปีพวกเราพี่น้องก็จะไปที่นั่น”
พูดจบโม่ฉีหมิงก็หยิบชุดขี่ม้าสีน้ำเงินที่เหมาะสมกับบุคลิกของโล่หวินหลานออกมาจากตู้และยังหยิบรองเท้าบูทที่อบอุ่นและพอดีเท้าออกมาหนึ่งคู่ครั้งนี้เป็นฤดูหนาวแรกที่ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกันเขาทำทุกอย่างให้นางอย่างสุดความสามารถ
“เปลี่ยนชุดเถอะที่นั่นจะเย็นกว่านิดหน่อยแต่ทว่าก็ไม่ควรสวมใส่ให้หนาเกินไปมิฉะนั้นจะเล่นสไลด์น้ำแข็งไม่ถนัด”โม่ฉีหมิงนำพวกเสื้อผ้าที่เขาเลือกด้วยตัวเองวางลงในมือโล่หวินหลานและก็ไปเลือกเสื้อผ้าให้ตัวเอง
เมื่อมองดูชุดขี่ม้าสีน้ำเงินชุดนั้นในใจโล่หวินหลานก็ค่อยๆรู้สึกถึงความอบอุ่นเขามักจะมอบความอบอุ่นแก่นางโดยที่ตัวนางเองก็คาดไม่ถึงเขารู้ว่าข้าชอบสีอะไรชอบกินอะไรมักจะทำทุกสิ่งที่นางต้องการอย่างสุดความสามารถ
โล่หวินหลานมองไปที่แผ่นหลังที่ทั้งหนาทั้งกว้างของเขานางรู้สึกเหมือนว่าในโลกนี้คงจะไม่ดีใครดีกับเท่าเขาอีกแล้ว
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วรึยัง?”โม่ฉีหมิงที่สวมใส่เสื่อผ้าเรียบร้อยแล้วหมุนตัวกลับมาถามเห็นเพียงโล่หวินหลานที่กำลังต่อสู้อยู่กับเสื้อนอกตัวนั้นปกติแล้วจะเป็นเย่หยินที่สวมเสื้อผ้าให้นางไม่จำเป็นต้องลงมือสวมใส่ด้วยตนเองแต่ว่าตอนนี้ช่างคาดไม่ถึงว่าเสื้อผ้าชุดนี้จะซับซ้อนได้ขนาดนี้
“ยังไม่เสร็จเสื้อผ้าอะไรเนี่ยทำไมสวมยากนัก!”โล่หวินหลานทั้งรีบทั้งโมโหก้มหน้าฟ้องถึงเรื่องกระดุมบนชุดโม่ฉีหมิงเข้ามาจัดการกับเสื้อผ้านางต่อโดยกลัดกระดุมข้างบนอย่างคล่องแคล่วว่องไวอีกทั้งยังนั่งยองๆเพื่อสวมใส่รองเท้าบูทให้นาง
“ถ้าไม่มีข้า เจ้าจะทำอย่างไร?”โม่ฉีหมิงทอดถอนหายใจอย่างจนใจแต่กลับเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า“แต่ว่าชาตินี้ทั้งชาติข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไปไหนเด็ดขาด”แววตาของเขาเด็ดเดี่ยวมั่นคงประโยคนี้ก็ทำให้หัวใจของโล่หวินหลานรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้งมองไปที่เสื้อผ้าและรองเท้าบูทสีเดียวของตัวเองหัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นครั้งนี้โม่ฉีหมิงสวมใส่ให้นางเองกับมือ
นางพยักหน้ารับอย่างแรงแม้ในเวลาภายภาคหน้านางก็คงจะนึกถึงท่าทางที่โม่ฉีหมิงก้มหัวสวมใส่รองเท้าให้นางช่างอบอุ่นยิ่งนักเหมือนกับว่าสิ่งดีงามทั้งหลายล้วนอยู่ในตัวเขาทั้งสองคนสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยก็ขึ้นนั่งบนรถม้าออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังตำหนักตงหมิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก