ตอนที่137 สาลี่ลอยแก้ว
โล่หวินหลานดูอย่างคร่าวๆ อาหารทะเล เนื้อหมู เป็ด ไก่รวมถึงพวกผักต่างๆเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ว่างไว้บนโต๊ะต่างๆ ไม่ให้กลิ่นของพวกมันปะทะกัน และหยิบวางอย่างสะดวก
“พระชายา หาอะไรหรือเพคะ? ให้หม่อมฉันช่วยหา” เย่อวิ๋นเห็นโล่หวินหลานพลิกไปมา บนล่างหาของที่ตัวเองต้องการไม่เจอ จึงถามขึ้น
“ก็ได้ ช่วยข้าหาสาลี่ สาลี่ เปลือกส้ม และลูกเดือยหน่อย ที่นี่มีน้ำตาลกี่ชนิด? มีสาลี่ลอยแก้วไหม?” ในหัวของโล่หวินหลานกำลังคิดถึงสูตรสาลี่ลอยแก้ว แล้วพูดออกมา
ท่าทางของเย่อวิ๋นราวกับคุ้นเคยกับห้องครัวมาก เปิดตู้หาเพียงแปบเดียวก็เจอสิ่งที่เจ้าต้องการ หยินของเหล่านั้นวางบนโต๊ะ แล้วจึงร้องขึ้นมา “พระชายา น้ำตาลบ๊วยคืออะไรเพคะ? สาลี่ลอยแก้วหรือ? ที่นี่ไม่มี มีเพียงน้ำตาลธรรมดา”
โล่หวินหลานนิ่งไป ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร สาลี่ลอยแก้วนี้เป็นของสมัยใหม่ ในยุคโบราณยังไม่มีการคิดค้นขึ้นมา แต่เจ้ายังบอกเย่อวิ๋นไปแบบคร่าวๆ
“สาลี่ลอยแก้วคือน้ำสาลี่ที่ปั่นแล้ว ใช้แทนน้ำธรรมดา กวนผสมกับน้ำตาล ใช้เวลาประมาณ 7 วันจะตกผลึกออกมา แล้วก็กลายเป็นน้ำตาลกรวดสาลี่
โล่หวินหลานพูดมาตั้งยาว แต่เย่อวิ๋นเข้าใจเพียงนิดเดียว ในหัวนั้นเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เจ้าเคยรู้แค่เพียงเรื่องร่ายรำกระบี่กระบอง เคยรู้เรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน แต่ถึงแม้ว่าจะไม่รู้เรื่อง แต่เจ้าก็พยักหน้า
“พระชายาคะ แล้วท่านมีสูตรสาลี่ลอยแก้วไหมเพคะ? เอาให้พ่อครัวในเรือนทำให้ก็ได้” เย่อวิ๋นกล่าว ถ้าสรรพคุณของมันดีขนาดนี้ ก็ทำออกมาเลยเสียดีกว่า
แต่ใครจะรู้ โล่หวินหลานกลับส่ายหน้า “ทำไม่ได้หรอก ที่นี่ไม่มีส่วนผสม”
ในขั้นตอนการทำสาลี่ลอยแก้วนั้น มักจะเกิดเป็นผลึกคริสตัลได้ช้าหรืออาจจะไม่เกิดด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงต้องใส่สารที่เป็นตัวช่วย แต่โล่หวินหลานไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“ทำไมเพคะ?” ยังมีของที่พระชายาทำออกมาไม่ได้?
โล่หวินหลานหัวเราะขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ทำไมถามเยอะจัง? ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้”
เมื่อถูกพูดเช่นนี้ เย่อวิ๋นก็รู้สึกว่าตัวเองถามมากเกิน รีบเปลี่ยนจุดสนใจ มองของที่อยู่บนโต๊ะ บางอย่างนั้นช่างจัดการยากเสียจริง
โล่หวินหลานหยิบสาลี่ขึ้นมาสองลูกส่งให้เจ้า พลางสั่ง “ใช้น้ำล้างสาลี่สองลูกนี้ให้สะอาด ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้น เอาเม็ดออก ปลอกตรงก้นออก ทำให้เรียบร้อย”
การใช้มีดเป็นสิ่งที่เย่อวิ๋นถนัดที่สุด อย่างน้อยเจ้าก็ถือดาบมานาน แค่สาลี่ทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก หลังจากที่ออกลวดลายในมือเรียบร้อย ก็เริ่มใช้มีดปอกผลไม้ยาวๆนั้นลงมือ
ในห้องครัวมีเพียงเสียงที่เย่อวิ๋นหันสาลี่ และเสียงฟืนเผา โล่หวินหลานโยนเปลือกส้มและลูกเดือยลงในน้ำเดือด เอารสขมออก น้ำที่เดือดอยู่นั้น รอเพียงของที่เสร็จเรียบร้อย แล้วจึงโยนเข้าหม้อไป
ไม่นานนัก เย่อวิ๋นวางมีดในมือลง เอาของที่อยู่ในสาลี่ออกมาเรียบร้อย แล้วพูดอย่างภูมิใจ “พระชายา เสร็จเรียบร้อยแล้ว สวยมากเลยใช่หรือไม่เพคะ?”
มองดูเม็ดสีเหลืองอ่อนของสาลี่ และเนื้อสาลี่สีขาวๆนั้น รวมถึงใบหน้าที่แสนจะภาคภูมิใจของเย่อวิ๋น โล่หวินหลานจึงยิ้มแล้วพยักหน้า “หั่นได้ดีมาก พวกเราเอาไปตุ๋นกันได้แล้ว”
เอาสาลี่ ลูกเดือย เปลือกส้ม แล้วก็น้ำตาลกรวดใส่ไปในน้ำพร้อมกัน แล้วปิดฝาหม้อเอาไว้ แล้วใช้ไฟขนาดกลางก่อน แล้วค่อยใช้ไฟอ่อนๆต้มเป็นเวลาธูปครึ่งดอก แล้วก็เอาขึ้นได้
เด็กรับใช้ที่อยู่นั่งรออยู่ที่ระเบียงด้านนอก เด็กผู้ชายใส่หมวกสีน้ำเงินเข้มคนหนึ่ง มองเข้ามาในห้องครัวอย่างสงสัย
“พวกแกว่า พระชายาท่านทำอะไรในห้องครัว? ท่านปรุงอาหารเป็นด้วยเหรอ?”
แล้วเด็กผู้ชายท่ใส่หมวกสีน้ำเงินเข้มอีกมุมหนึ่งก็พูดขึ้น “ยังมีอะไรที่ไม่เป็นอีก เจ้าคิดดูนะ พระชายานั้นฝีมือการแพทย์เก่งมา แล้วกับแค่เรื่องเข้าครัว ทำไมจะทำไม่ได้? ข้าว่าพวกเรากังวลมากไปหน่อย”
“ก็จริง รอดูรอดู พระชายาต้องทำอาหารให้นายท่านแน่ๆ ไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่ นายท่านก็จะกินหมดเกลี้ยง ไม่เหลือเลย” เด็กรับใช้ที่ช่วยงานในห้องครัวอีกคนก็หัวเราะขึ้น
“แกรู้ได้ไง? จริงเหรอ?” แต่ละคนต่างถามขึ้นมา
ประตูห้องครัวที่ถูกปิดสนิทอยู่นั้น ก็ถูกเปิดขึ้นกะทันหัน โล่หวินหลานเปิดเปิดประตูขึ้น ตามด้วยเย่อวิ๋นเดินถือถ้วยที่มีลวดลายปราณีตตามออกมา
ทั้งสองเดินท่ามกลางพื้นหิมะ มุ่งไปยังห้องหนังสือ
โล่หวินหลานหน้าแดง “ก็ ก็อร่อยดี...”
คำตอบนี้ทำให้โม่ฉีหมิงค่อนข้างพอใจ ยกมุมปากขึ้น ใบหน้าที่งดงามนั้นถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้วสวยๆ ทำให้เขายิ่งดูน่าหลงใหล โล่หวินหลานค่อนข้างหลง
“งั้นพวกเรากินด้วยกันเถอะ ร่างกายของแนไม่เป็นไร ยิ่งปลายปี ลมหิมะยิ่งแรง ข้าควรจะเอายากันหนาวจากสวินโม่มาตุ๋นให้เจ้า เป็นข้าที่ละเลยไปแล้ว” เสียงแหบซ่านของโม่ฉีหมิงแฝงความรู้สึกผิด เป็นเขาที่ดูแลเจ้าไม่ดี
“ไม่ต้อง เจ้าลืมแล้วเหรอ ข้าเป็นหมอนะ ดูแลตัวเองได้” โล่หวินหลานทุบหน้าอกตัวเอง แสดงท่าทีว่าตัวเองร่างกายแข็งแรง
โม่ฉีหมิงมองตามมือของเจ้าไป โล่หวินหลานที่กำลังทุบหน้าอยู่นั้น เขาจ้องนานมาก จนเจ้ารู้สึกแปลกๆ จึงหยุดไป เขาเม้มปากแน่น แล้วหัวเราะเบาๆ “ยังจะอายอีก แค่ก้อนเนื้อสองก้อน อุ้มขึ้นมาก็เขินแย่ล่ะ แล้วโดนแค่ไม่กี่ทีก็ร้องขอชีวิต อย่างนี้ต้อง...”
ยิ่งพูดถึงตอนท้าย หน้าของโล่หวินหลานยิ่งแดง เมื่อเห็นว่าโม่ฉีหมิงยิ่งพูดไปในเรื่อง18+ จึงรีบปิดปากเขา กระโดดเหยงๆ “ไม่ให้พูดแล้ว ไม่ให้พูดแล้ว!”
โม่ฉีหมิงเห็นหน้าแดงๆของเจ้า ก็รู้สึกมีอารมณ์ มือนั้นลูบไล้ไปตามด้านหลังเอว ส่ายหัวอย่างใสซื่อ
เจ้าจึงปล่อยมือ แล้วโม่ฉีหมิงก็เข้าไปจูบเจ้า...
ทันใดนั้น มีเสียง “ปัง” ดังขึ้นมา ไม่รู้ว่าใครเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง ลมหิมะด้านนอกก็ปะทะเข้ามา และแรงขึ้นเรื่อยๆ และมีผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุดสีม่วงยืนอยู่ที่หน้าประตู
“หมิงอ๋อง ชายาหมิงอ๋อง? รีบไปช่วยคนกับข้าเถอะ น้องสาม เจ้า เจ้าถูกเอาไปไว้ในโลงแล้ว...” โล่หวินหลานรีบผลักโม่ฉีหมิงออก เจ้าเสยผมอย่างรู้สึกเขินๆ หน้าแดงจนก้มหน้าลง ในอ้อมกอดของโม่ฉีหมิงนั้นมีเพียงความว่างเปล่า จากความอบอุ่นนั้นกลายเป็นความหนาวเหน็บทันที เขากวาดตาไปมองเย่อวิ๋นกว่างที่อยู่ด้านล่าง
เย่อวิ๋นกว่างรีบเงยหน้ามองโม่มู่ แล้วรีบกล่าว “หมิงอ๋อง รีบไปกับข้าเถอะ ถ้าไม่งั้นจะไม่ทันการแล้ว”
โล่หวินหลานที่อยู่ข้างๆเดินต่อไปแล้ว จึงรีบถามขึ้น “เจ้ารีบบอกมาว่าสถานการณ์ที่เรือนเย่เป็นอย่างไรบ้าง?”
ทั้งสองวันที่ผ่านมาพวกเขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในเรือน เพราะเย่กั๋วกงปิดข่าวทั้งหมด แถมยังจัดทหารเฝ้ายามอีก พวกเขาเข้าไปได้เพียงต้องรออีกสามวันก่อนจะฝัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก