ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 152

ตอนที่ 152 หลักทำนองคลองธรรม

หลังจากที่ขาของโม่ฉีหมิงหายดี ฮ่องเต้เจียเฉิงยิ่งให้ความสำคัญกับเขามากขึ้น ความสามารถขององค์รัชทายาทยังน้อยกว่าเขา

ครั้งนี้เขามีสิทธิ์เป็นคนสืบหาเรื่องนักแสดงแฝงฆาตกร นั่นก็หมายความว่าเขาถูกโปรดปรานในสายตาของฮ่องเต้แล้ว

“น้องสี่ มุมมองของเจ้าผิดแล้ว ราชวงศ์ของเรามิอาจให้ใครมาบุกรุกก้าวก่าย ถ้าทุกคนอยากฆ่าก็ฆ่าคนในราชวงศ์แบบนี้ นั่นไม่โง่เขลาเกินไปหรอ?” องค์รัชทายาทขมวดคิ้วขึ้นมองโม่ฉีหมิง

“ท่านพี่ใหญ่ ท่านพี่พูดถูก โจรผู้ร้ายเราต้องจับอย่างแน่นอน แต่ยังไงเย่กั๋วกงเป็นฝ่ายบอกเองว่าอย่าไปตามสืบเรื่องนี้ และเขาอยากจะกลับไปหาส่งฮูหยินสี่เป็นครั้งสุดท้าย มิใช่ว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้” โม่ฉีหมิงถามสวนกลับ

บรรยากาศข้างนอกลอยไปด้วยหิมะหนาๆ รองเท้าบูทของทั้งสองเหยียบผู้บนหิมะขาวหนา เสียงเสียดสีของเท้ากับพื้นดังขึ้น เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของวงค์รัชทายาทดังขึ้นระหว่างทางกลับ

ปกติคนอย่างโม่ฉีหมิงโหดเหี้ยม ฉลาดหลากแหลมและเป็นคนแผนสูงกลับพูดคำพูดแบบนี้ออกมา ทำให้เขานึกไม่ถึงจริงๆ

น้องสี่ เจ้าคิดแบบนี้จริงๆหรือ?” องค์รัชทายาทมุมปากเบาๆ แค่นัยน์ของเขาเต็มไปด้วยดอกท้อที่กำลังถูกหิมะโจมตีกระหน่ำ

“ใช่ ข้าคิดว่าเราไม่ควรไปตามสิบเรื่องนี้ต่อไป พวกเราต้องเคารพในการตัดสินใจของเย่กั๋วกง” โม่ฉีหมิงยังคงยืนหยัดในความคิดของตน

องค์รัชทายาทแหงนหน้ามองท้องฟ้า สีฟ้าครามที่ดูมืดครึ้ม หิมะที่หนาวเย็นตกลงมาจากฟ้าไม่หยุดไม่หย่อน โปรยลงมาบนตัวของทั้งสอง

องค์รัชทายาทกระตุกยิ้มปากและเผยรอยยิ้มแห้งที่ยากจะคาดเดาว่าคิดอะไรอยู่

ทั้งสองเดินไปถึงหน้าวังแล้ว

รถม้าขององค์ชายทั้งหลายไม่สามารถเข้ามาตรงพระราชวังหน้าได้ ได้แค่รออยู่นอกวัง ขนาดทหารที่คอยติดตามพวกเขายังต้องรออยู่ด้านนอก

ฉินหยิ่นจูงม้าไว้เรียบร้อยแล้ว พอเห็นโม่ฉีหมิงเดินมาเขาก็จูงม้าไปใกล้

ความคิดของทั้งสองไม่เหมือนกัน และเป้าหมายที่อยากได้ก็ต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เขาสองคนเหมือนกัน แต่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถแบ่งปันกันได้

“ฉินหยิ่น กลับตำหนักกันเถอะ”

ฉินหยิ่นรับทราบ ขึ้นอยู่บนรถม้า ค่อยๆออกจากราชวัง

รถม้ากระตุกได้รุนแรงมาก โม่ฉีหมิงพิงอยู่บนรถม้าและหลับตาตั้งสมาธิ สมองของเขาคิดถึงแต่คำพูดขององค์รัชทายาท และรอยยิ้มที่กระตุกมุมปากขึ้นเป็นทรงโค้ง

สายตาที่เย็นชาขององค์รัชทายาทมองไปยังรถม้าของเขา สายตาเหมือนซ่อนอะไรบางอย่างไว้

โม่ฉีหมิง ข้าจะให้เจ้ามากราบแทบเท้าของข้าให้ได้ คอยดู

ครั้งนี้จะเป็นการยืนยันที่ชัดเจนที่สุด

ฟ้าค่อยๆมืดลงทุกที โล่ฉีหมิงมองท้องฟ้าข้างนอกที่กำลังมืดครึ้ม ทำไมโม่ฉีหมิงยังไม่กลับมา หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น?

“พระชายาไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ ท่านอ๋องเดี๋ยวก็กลับมาถึงเจ้าค่ะ” เย่หวินเห็นนางเดินไปเดินมาจนต้องพูดออกมาอย่างทนไม่ได้

โล่หวินหลานยืนอยู่ตรงระเบียงและกำลังมองเกล็ดหิมะที่อยู่บนเสาอย่างน่าเบื่อ ฟังเย่หวินพูดแบบนี้ นางใช้สายตาแปลกๆมองไปยังเย่หวิน “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”

เย่หวินปิดปากตัวเองแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ และพูดขึ้นอย่างมีลับลมคมใน “เพราะว่าท่านอ๋องมักจะกลับมาเวลานี้ตลอดเจ้าค่ะ!”

เวลานี้หรือ? โล่หวินหลานมองฟ้าที่มืดครึ้ม ตอนนี้เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน ทุกครั้งเวลานี้ท่านอ๋องจะกลับมางั้นหรือ?

นางคิดทบทวนเวลาที่โม่ฉีหมิงกลับมา เหมือนเวลาที่เขากลับมา มักจะเป็นเวลาก่อนที่จะทานมื้อเย็นตลอด

“เย่หวิน เจ้าเป็นคนช่างสังเกตจริงๆ…. “ โล่หวินหลานก็คิดเยี่ยวนี้ หันหลังกลับมาเจอโม่ฉีหมิงยืนอยู่ตรงข้างหลังนางเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลย

เสื้อคลุมสีม่วงเข้มของเขาติดไปด้วยเกล็ดหิมะ และใบหน้าอันหล่อเหลาของเขามีความแดงอมชมพูเบาๆ เรือนร่างของเขาสง่าทรงอำนาจ และยืนอยู่ตรงที่ไม่ไกล เขากำลังค่อยๆเดินมาใกล้นาง และยื่นมือมาลูบผมของนางเบาๆ

“อะไรสังเกตได้ละเอียด?” โม่ฉีหมิงพูดด้วยน้ำเสียงต่ำและแหบอยู่ข้างหูนาง

“ไม่มีอะไร ยัยเย่หวินวิ่งได้เร็วจริงๆ ฮ่องเต้คุยอะไรกับเจ้าบ้าง?” โล่หวินหลานเขย่าแขนของโม่ฉีหมิงเบาๆ

โม่ฉีหมิงก้มหน้าลงเห็นหน้าผากของนางมีเกล็ดหิมะติดอยู่ เอายื่นมือไปปัดหิมะนั้นออกเบาๆ และโอบนางเดินไปตรงตึกตำหนักหลัก

“ก็แค่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เย่กั๋วกงไม่อยากตามสืบว่าฆาตกรคือใคร อยากไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง” โม่ฉีหมิงเอาเรื่องที่ผิดปกติอย่างอื่นเก็บไว้ในใจแล้วคิดไตร่ตรองคนเดียวในใจ

แผ่นฟ้าที่ข้างนอกค่อยๆมืดลง ท้องฟ้ามืดครึ้มของฤดูหนาวช่างมันไวเหลือเกิน ทุกบ้านทุกเรือนต่างก็จุดเทียนไว้ตั้งแต่หัวค่ำ ทำให้บรรยากาศในบ้านเรือนเต็มไปด้วยความอบอุ่น

แค่มองจากที่ไกลๆ มีหน้าต่างบานหนึ่งที่ยังคงความมืดไม่มีแสงไฟ ไม่มีอะไรเลย แค่จุดเทียนไขให้สว่างก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับนาง

“ฮูหยินใหญ่? ฮูหยินใหญ่อยู่ไหนเจ้าคะ? คุณท่านเชิญท่านรับประทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ” จินหยกเคาะประตู ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย หูของนางแนบไว้กับประตู ยังคงไม่ได้ยินเสียงอะไร

ตั้งแต่เมื่อวานที่ฮูหยินสี่ถูกฆ่า นางก็ขังตนเองไว้ในห้อง อยู่คนเดียวในห้องมาทั้งคืน ไม่ได้ทานอะไรเลย ต่อให้จินหยกเรียกแค่ไหนนางก็ไม่สนใจ วันนี้เป็นวันที่สองของหัวค่ำ ไม่ออกมาทานอะไรหน่อย เป็นมนุษย์ยังไงก็ทนไม่ไหว

จินหยกเคาะประตูอีกครั้ง และทวนคำพูดเมื่อครู่อีกครั้ง แต่ข้างในก็ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นใดๆ นางรู้สึกกังวลแล้วเดินไปเดินมา

ไม่รู้ว่าควรเรียกคนมาพังประตูหรือไม่ จินหยกเดินไปเดินมา แต่นางก็ไม่กล้าพังประตูเข้าไปคนเดียว ถ้าฮูหยินใหญ่รู้คงจะถูกลงโทษ

จินหยกกำลังลังเลและมองกลับมาตรงประตูอีกสองครั้ง และกำลังเตรียมตัวเดินจากไป ทันใดนั้นเสียงก็ถูกส่งมาจากข้างใน “เข้ามา”

เสียงนั้นเย็นชาเหมือนความหนาวเย็นในฤดูหนาว

เปิดประตูขึ้น ลงหนาวก็ได้พัดผ่านมา

ข้างในมืดมาก ไม่มีแม้แต่แสงไฟจากเทียนไข จินหยกค่อยๆเดินก้าวเข้าไปข้างใน บรรยากาศอันหนาวเย็นในนั้นทำให้นางรู้สึกขนลุก

“ฮูหยินใหญ่ท่านอยู่ไหนเจ้าคะ?” เสียงของจินหยกเบามาก ฝีเท้าของนางก็เบา เพราะว่าไม่เห็นอะไรเลย นางจับเสาเดินไปถึงข้างๆโต๊ะ

“ข้าอยู่บนเตียง ไม่ต้องจุดเทียน เดินมาที่นี่” เสียงของฮูหยินใหญ่ทั้งต่ำและแหบ ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็นยิ่งทำให้รู้สึกน่ากลัวมากขึ้น

ถึงแม้ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ให้จุดเทียน แต่จินหยกก็ไม่ได้ปฏิเสธ ยังคงทำตาม ค่อยๆเดินไปข้างเตียง

“แม่ ฮูหยินใหญ่ ท่านอยู่ที่นี่ใช่ไหมเจ้าค่ะ?” เสียงจินหยกสั่นเบาๆ มือของนางจับขอบเตียงไว้

แต่มือของนางพึ่งจะจับมุ้งของเตียง ก็ถูกจับมือไว้อย่างหนักมือ

“ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินใหญ่เป็นอะไรไปเจ้าคะ?” เสียงของจินหยกเหมือนกำลังร้องไห้ ยังไงนางก็ยังเป็นบ่าวที่ยังสาว และพึ่งเคยเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก