ตอนที่ 230 สีของความสงสัย
ในที่สุดอาลั่วหลันก็แพ้ให้กับโล่หวินหลานที่หมิงซีคิดถึงอยู่ดี ในสายตาของเจ้ามีแต่ความเสียใจ แต่นางเป็นแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย สมยก่อนตอนที่เจ้าอยู่ในแคว้นเซิ่งโจว วังหลังอันน่ากลัวโหดเหี้ยมเจ้ายังอยู่รอดเลย แผลแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก
อาลั่วหลันหันหลังไปพร้อมหายใจเข้าลึกๆ “ช่างมันเถอะ ข้าไปห้องครัวต้มโจ๊กให้เจ้ากินล่ะ”
นางยังไม่อยากจะปล่อยความอบอุ่นนี้ไป ก็เลยยอมอยู่ต่อไป
ดูอาลั่วหลันเดินออกไปอย่างเสียใจ หมิงซีหลับตาลง หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งโดยใช้มือดันตัวเองขึ้น และเขาก็รู้สึกเจ็บปวดจนเหมือนโดนฟ้าผ่า
ทันใดนั้น เขาก็นึกเรื่องเมื่อคืนได้
เพื่อที่จะพาโล่หวินหลานออกตำหนักหมิงอ๋องได้ เขายอมเสียสละร่างกายของตัวเองไปปกป้องเจ้า และเส้นเอ็นของตัวเองก็หักเกือบหมด
เขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะไม่มีอันตรายเมื่อเจ้าอยู่ในตำหนักหมิงอ๋อง แต่เขาก็ทนไม่ได้ที่จะให้เจ้าอยู่ในตำหนักหมิงอ๋อง
และวันนั้นก็ได้เห็นหน้าโม่ฉีหมิงไปแวบหนึ่ง ร้สึกว่าเคยไปเจอที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดี
“หมิงซี เจ้าดีขึ้นยัง”โล่หวินหลานผลักประตูเข้ามา เห็นหมิงซีนั่งอยู่บนเตียงดูออกไปที่หน้าต่างพอดี เหมือนเขากำลัลคิดอะไรอยู่
เสียงที่เคยชินได้ผ่านเข้ามาในหูของเขา ดึงเขาออกมาจากความคิดตัวเอง
“ข้าไม่เป็นไร แค่ยังเดินไม่ได้” หมิงซียิ้มแห้งๆ
ถึงแม้ดูจากข้างนอกแล้วไม่มีรอยแผลอะไร แต่ถ้าถอดเสื้อออกเจะเห็นได้ว่ามีรอยเลือดที่เส้นเอ็นของเขา
“เมื่อคืนจื๋อเอ่อส่งพลังในให้เจ้า แต่เขาบอกว่าพลังในของเจ้าปฏิเสธออก นี่คือเพราะว่าอะไรหรอ”โล่หวินหลานถามอย่างสงสัย
หมืงซีตกใจกับสิ่งที่เจ้าพูดออกมา “จื๋อเอ่อหรอ เขาส่งพลังในให้ข้าจริงหรอ”
ไม่คิดเลยว่าจื๋อเอ่อจะมาคอยรับพวกเราอยู่ข้านนอก ยังมาช่วยตัวเองไว้โดยการส่งพลังใน จื๋อเอ่อเป็นทัพของแคว้นเซิ่งโจว เพราะอะไรถึงมาช่วยตัวเองไว้ซึ่งเป็นชาวแคว้นโม่ฉี
เขาเริ่มแน่ใจความจริงหลังจากที่เจ้าพยักหน้า “ก็ว่าทำไมเส้นเอ็นข้าหักเกือบหมดแต่กลับรู้สึกในร่างกายยังมีพลังงานมากมายอยู่ ข้ายังไม่อยากเชื่อเลยว่าเส้นเอ็นข้าหักเกือบหมด ถ้าไม่ใช่เจ้ามามาบอกเราความจริง แล้วทำไมจื๋อเอ่อเขาถึงมาช่วยข้าหรอ”
ทุกอย่างมีเหตุย่อมมีผล เจ้ารู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เจ้าปลอมตัวเป็นองค์หญิงเหอเซ่อเข้ามาในเมือง จื๋อเอ่อก็ไม่ยอมเชื่อฟังตัวเองหรอก
“ทุกอย่างย่อมมีเหตุผล ช่วงนี้เจ้าก็พักอยู่บนเตียงเลย”โล่หวินหลานพูด
“ข้าว่าข้าน่าจะเน่าอยู่บนเตียงนี้ละมั่ง” หมิงซ๊รู้สึกเบื่อหน่าย
“ไม่ต้องห่วงนะ ข้าไม่ให้เจ้าเน่าหรอก เดี๋ยวเจ้าคิดอยากจะเงียบๆ หน่อยก็ไม่ได้ละ”โล่หวินหลานนึกอะไรสักอย่างออกและรู้สึกขำ
“เมื่อกี้ข้าเห็นอาลั่วหลันอยู่ข้างนอก เหมือนนางอารมณ์ไม่ดีอยู่ เมื่อวานนางดูแลเจ้าไปทั้งคืน เจ้าไปทำอะไรให้นางอ่า”
พูดถึงอาลั่วหลัน หมิงซีก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าโกรธ้พราะว่าตัวเองได้พูดผิด แต่เขาก็คิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กๆ เอง
แต่ก็เพราะว่าเขาใส่ใจทุกอย่าง และก็ไม่เข้าใจสักอย่าง
“ไม่มีอะไรหรอก เมื่อคืนที่เจ้าไปตำหนักหมิงอ๋องได้อะไรกลับมาไหม” หมิงซีอดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้ขึ้น สถานการณ์ของเมื่อคืนอันตรายเกิน ถ้าไม่ใช่ว่าตัวเองออกมาทัน จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้
พูดถึงเรื่องเมื่อคืน ใจของโล่หวินหลานก็รู้สึกเหมือนสำลีที่โดนน้ำ มันอึดอัดมากเลย
ฟังจากเรื่องที่พวกเขาคุยกันเมื่อคืน รู้สึกว่าเขาคนนี้โหดเหี้ยมกว่าเมื่อก่อนเป็นหลายเท่า
เขาอาจจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่เจ้าจากไป ความคิดแบบนี้เขาอาจจะมีแล้วตั้งแต่ที่เจ้ายังอยู่ๆ แต่เขาก็แค่หาเวลาที่จะทำตามความคิดของเขาได้แล้วแค่นั้นเอง
“ในตำหนักยังคงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือใจของคน เขาไม่เหมือนเดิมแล้ว”โล่หวินหลานมองไปยังข้างหน้าด้วยสายตาไร้วิญญาณ
ในสายตาหมิงซีมีแสงที่ไม่อาจสังเกต
“เป็นคนก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าในใจของเขายังมีเจ้าอยู่ แค่นี้ก็เกินพอแล้ว” มีหลายเรื่องที่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แต่เขาได้แต่ปลอบใจเจ้าอย่างนี้
โล่หวินหลานก็อยากจะยอมรับ แต่เมื่อนางกำลังจะพูดอะไรออก ประตูก็ถูกคนเปิดออกอย่างแรง เห็นแค่เงาคนวิ่งเข้ามาวางอะไรสักอย่างที่บนโต๊ะ
“ข้าจะคิดว่าเจ้าแค่เดินผ่านพอดี แล้วช่วยหมิงซีไว้ทัน ไม่มีอย่างอื่นเกิดขึ้นอีกแล้ว” เสียงโล่หวินหลานเย็นชาอย่างกับน้ำแข็ง ต่างจากใบหน้าอันร้อนแรงของนางมาก
“ถ้าเจ้าไม่อยากพูด ข้าไม่ถามก็ได้ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนมีแค่นี้” จื๋อเอ่อพูดอย่างเย็นชา “เมื่อคืนข้าได้เห็นเจ้าสองคนแอบออกไปข้างนอก และเหมือนพวกเจ้าจะรู้จักที่นี้อย่างดี ข้าก็เลยตามไปด้วย”
เขาเล่าสิ่งที่เขาเห็นอย่างละเอียด ทุกๆ คำก็เหมือนเข็มทิ่มเข้าไปในส่วนลึกสุดในหัวใจของเจ้า
โล่หวินหลานหน้าซีดทันที เจ้าพยายามให้ตัวเองล้มลงไปกับพื้น
“มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลย สิ่งที่เจ้าควรทำก็คือทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมื่อคืน” น้ำเสียงเย็นชาของเจ้าทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมาก
จื๋อเอ่อยังไม่ทันได้พูดอะไรเจ้าก็เดินจากไปแล้ว
ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากจะปิดบังจื๋อเอ่อ แต่สำหรับนางกับโม่ฉีหมิงแล้ว เรื่องนี้ยิ่งมีคนรู้น้อยก็ยิ่งดี
สำหรับจื๋อเอ่อในที่สุดเจ้าก็ต้องกลับไปที่แคว้นเซิ่งโจว คนที่จะจากไปจะพาความลับจากไปด้วยทำไม
ตั้งแตที่เมื่อคืนมีคนแอบเข้ามา โม่ฉีหมิงก็อยู่ในห้องอ่สนหนังสือทั้งคืนไม่ออกมาเลย ในหัวของเขามีแต่คนคนนั้นที่โยนเข็ม
ท่านั้นเป็นท่าที่เขาเคยชินมาก
คนคนนั้นอยู่กับตัวเองตั้งหลายปี ท่าที่เจ้าโยนเข็มเหมือนกับคนเมื่อคืนเลย ถ้าไม่ใช่คนเดียวกัน นั่นก็คือนางกลับมาแล้ว
“หมิงอ๋อง เย่เฟิงได้จับคนในครอบครัวของยงโจวไท่ซ้อไว้แล้ว แล้วจะทำอะไรต่อ”ฉินหยิ่นได้จดหมายที่เย่เฟิงเขียนเองกับมือเมื่อสักครู่
โม่ฉีหมิงดื่มชาชิวๆ “คิดว่าตอนนี้ยงโจวไท่ซ้อกำลังเดือดร้อนอยู่ ไม่ต้องรีบไปบอกเขา รอจนกว่าเขาจะทนไม่ไหว ตอนนั้นค่อยบอก ส่วนลูกเมียของเขา ให้หาคนดูแลดีๆ อย่าให้ใครมาทำร้ายละ”
ฉินหยิ่นพยักหน้า แล้วไปเอาพุกันกับกระดาษมาเพื่อเขียนจดหมายตอบกลับเย่เฟิง
ทำเสร้จฉินหยิ่นก็พูดต่อว่า “หมิงอ๋อง สองคนนั้นที่เจอเมื่อคืน คนหนึ่งคือองค์หญิงเหอเซ่อที่มาจากแคว้นเซิ่งโจว ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นทหารประจำตัวของนาง”
องค์หญิงเหอเซ่อนั่นเอง สายตาของโม่ฉีหมิงค่อยๆ เข้มขึ้น ดวงตาเย็นชาคู่นี้ยากที่จะคาดเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก