ตอนที่ 43 เหิมเกริม
เขาจับหน้าของโล่หวินหลาน แล้วมองนางอย่างละเอียด
ตอนที่ต้วนกุ้ยเฟยมาหานาง เขาอยากจะปฏิเสธไปด้วยซ้ำ เขาไม่อยากให้นางต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยง
ใบหน้าอันโหดร้ายถูกซ่อนไว้หลังหน้ากาก วันนี้อาจจะเป็นโม่ฉีมู่ที่เป็นฝีดาษ พรุ่งนี้จะเป็นใครอีกบ้างก็ไม่รู้ เขาเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องโล่หวินหลานไว้กับตัวตลอดเวลา
โล่หวินหลานเองก็จ้องเขากลับไปเหมือนกัน จากนั้นก็ส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นอะไร ข้าเป็นหมอนะ รู้ว่าจะต้องป้องกันตัวเองยังไง เจ้าไม่ต้องกังวล แล้วเจ้าล่ะ เคยเป็นฝีดาษหรือเปล่า?”
โมฉีหมิงเก็บสายตาของตัวเองกลับมา แล้วส่ายหน้า “ไม่เคย”
“แล้วเย่หวินกับฉินหยิ่นล่ะ?”
พวกเขาติดตามเขามาแต่เล็ก เหมือนจะไม่เคยเป็น เขาส่ายหัว
ในเมื่อพวกเขาไม่เคยเป็นฝีดาษมาก่อนเลย ถ้างั้นก็จะต้องระวังให้ดี เพื่อไม่ให้ใครลอบทำร้ายเด็ดขาด พรุ่งนี้นางจะไม่ให้เย่หวินตามนางไปที่จวนหลินอ๋องอีก นางไม่รู้วิชาแพทย์ เกิดติดโรคขึ้นมาได้ยังไง
โล่หวินหลานแอบคิดวางแผนในใจ การแพทย์ในสมัยนี้มันล้าหลังมาก จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด จะต้องป้องกันให้มาก
“เจ้าอย่าคิดมาก ไม่มีใครทำอะไรเราได้หรอก” โม่ฉีหมิงเห็นนางกำลังคิดอะไร ก็เลยพูดตัดบทขึ้นมา
“ต่อให้มีการระวังกว้างขวางแค่ไหน ก็ป้องกันคนแอบลอบทำร้ายไม่ได้ อันตรายมันมีอยู่ทุกที่” โล่หวินหลานพูด
โม่ฉีหมิงยิ้ม
โล่หวินหลานไม่ได้สนใจที่เขายิ้ม นางจ้องตาเขาแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าเข้าไปที่จวนหลินอ๋อง พบว่าที่หลินอ๋องเป็นฝีดาษเพราะเสื้อขอทานตัวหนึ่งที่ติดเชื้อฝีดาษ เสื้อตัวนั้นมันมาจากสาวใช้คนหนึ่ง แต่ว่าต้วนกุ้ยเฟยกลับไม่ยอมให้ไปสืบเรื่องสาวใช้คนนั้นต่อ ข้ากำลังสงสัยว่าต้วนกุ้ยเฟยกับสาวใช้นั้นจะมีความเกี่ยวข้องอะไรหรือเปล่า”
โม่ฉีหมิงลูบหัวของนาง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เรื่องที่หลินอ๋องเป็นฝีดาษมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ยังไงเขาก็เป็นถึงอ๋อง ปกติใช้ชีวิจตอย่างชนชั้นสูง แทบจะไม่มีโอกาสสัมผัสถูกฝีดาษเลย เรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำ ข้าจะให้คนไปสืบ”
เขาคิดจะเข้าไปยุ่งเรื่องอาการป่วยของโม่ฉีมู่อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้รัชทายาทถูกพิษก็เป็นเพราะต้วนกุ้ยเฟยกับโม่ฉีหานลงมือ ครั้งนี้โม่ฉีมู่ป่วยจะต้องมีคนอยากจะแก้แค้นเขาแน่ๆ
หากว่าหาคนร้ายในเรื่องนี้ได้ ก็จะรู้ว่าใครที่ไม่กินเส้นกับตัวนกุ้ยเฟย
กลางดึก ที่นอกหน้าต่างมีเงาของคนสองคน กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“อิจฉาท่านอ๋องกับพระชายาจังเลย พวกเขารักกันดีเนอะ” เย่หวินยืนพูดอยู่
ฉินหยิ่นยืนอยู่ข้างๆนาง แล้วมองไปที่นาง แล้วพูดว่า “เจ้าก็ลองคิดดูสิว่าท่านอ๋องกับพระชายาผ่านอะไรกันมาบ้าง ความสัมพันธ์ของพวกเขามันผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน ไม่ใช่ว่าใครก็จะมีได้”
เขาก้มหน้ามองเย่หวิน กำลังจะอ้าปาก แสงจันทร์ส่องลงมาที่ใบหน้าของนาง เหมือนกับว่าดวงดาวบนท้องฟ้าทั้งหมดส่องเข้าไปที่ดวงตาของนาง เขามองไปที่เย่หวิน
“จริงด้วย ......” เสียงของเย่หวินดังขึ้น เสียงที่นางพูดออกมาทุกคำมันทำให้ฉินหยิ่นหวั่นไหว เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงจนจะหลุดออกมาแล้ว กำลังจะพูดอะไร ก็เห็นนางส่ายหน้า
“ข้าคิดอะไรอยู่เนี้ย ต้องคุ้มครองพระชายาให้ดีนี่ถือเป็นเรื่องสำคัญ เห้อ ฉินหยิ่น เจ้าห้ามเอาเรื่องที่ข้าพูดในวันนี้ไปบอกใครเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
เย่หวินพูดกับฉินหยิ่นพูดด้วยน้ำเสียงสั่งการ
สีหน้าของฉินหยิ่นนิ่งลงไป เขากำหมัดแน่น สายตาล่องลอย แล้วก็ไม่รู้ว่ามองไปที่ไหน
เห็นเขานิ่งไป เย่หวินคิดว่าเขาโกรธนาง ก็เลยทุบไปที่ฉินหยิ่น แต่ว่าเขากลับหลบ เย่หวินชกถูกอากาศ แล้วตัวนางก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของฉินหยิ่นแล้ว
“ว้าย” นางกรีดร้อง ฉินหยิ่นกอดนางเอาไว้
บนตัวนางมีกลิ่นหอมของดอกไม้ เขาอาวรณ์กลิ่นหอมแบบนี้บนตัวของนาง เหมือนกับว่าเขาได้พบกับของมีค่าที่หายาก
บรรยากาศที่เงียบไป หลังจากเย่หวินได้สติ นางก็ผลักฉินหยิ่นออก แล้ววิ่งหน้าแดงออกไป
ฉินหยิ่นมองที่อ้อมอกที่ว่างเปล่าของตัวเอง แล้วก็ยิ้ม
ที่ตรงนี้ไม่มีคนที่เขาอยากจะมองอีกแล้ว อยู่ตรงนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ฉินหยิ่นสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินกลับห้องของตัวเองไป
กำลังจะเดินทะลุผ่านเรือนไป บ่าวไพร่ในจวนคนหนึ่งไม่ทันได้มองก็เดินมาชนเขา ยังไม่ได้พูดอะไร บ่าวไพร่คนนั้นก็พูดขอโทษว่า “ขออภัยด้วย คุณ คุณชายฉิน”
โล่หวินหลานห่วงใยเขาแบบนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจมาก ถึงแม้น้ำเสียงจะเย็นชา แต่ไม่เคยมีใครดีกับเขาแบบนี้มาก่อน
บ่าวไพร่สูดจมูก ใช้มือเช็ดหน้า แล้วก็กระตุกเชือกไป
ภายในจวนหลินอ๋องวุ่นวายไปหมด โล่หวินหลานลงจากรถม้า แล้วก็รีบสวมชุดต้านเชื้อที่สาวใช้ยื่นมาให้ แล้วก็ตรงไปยังห้องนอนของโม่ฉีมู่ทันที
“หวินหลาน เจ้ามาแล้วหรอ” ต้วนชิวเยนพูด สายตาของนางดูมีความหวัง “มู่เอ๋อ มู่เอ๋อมีไข้ขึ้นสูง เมื่อวานนี้ก็อ้วกฟองขาวๆออกมา ตุ่มหนองบนตัวก็แตกไปหลายเม็ด เจ้ารีบไปดูเร็วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ......”
โล่หวินหลานเหลือบไปมองต้วนชิวเยน แล้วยื่นมือไปจับชีพจรของโม่ฉีมู่ ยิ่งตรวจสีหน้าของนางก็ยิ่งแย่ สภาพของเขานางรู้ดีที่สุด หากเมื่อวานทำตามที่นางบอก อาการของเขาก็น่าจะดีขึ้นแล้ว
นางเก็บมือกลับมา แล้วเดินออกมาจากหลังฉากบังลม ไม่พูดอะไรแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ นางใช้สายตาที่เยือกเย็นมองไปที่นอกประตู
ต้วนชิวเยนเห็นนางไม่พูดอะไร ก็ร้อนใจ แล้วก็รีบถามว่า “ชายาหมิงอ๋อง มู่เอ๋อเป็นยังไงบ้าง? ทำไมเจ้าตรวจชีพจรแล้วไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
โล่หวินหลานยิ้มแห้ง แล้วจ้องไปที่หน้าของนาง “เรื่องที่พระองค์ทำเองแล้วพระองค์จะมาถามหม่อมฉันเพื่ออะไร? หม่อมฉันคิดว่าพระสนมน่าจะมีปัญญามากพอนะเพคะ?”
ถูกนางเยาะเย้ยแบนี้ ต้วนชิวเยนแทบจะไม่มีทางเถียงกลับได้เลย นางได้แต่กระพริบตา อยากจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก
“พระสนมเพคะ หากท่านไม่เชื่อใจข้า แล้วจะตามข้ามาทำไมอีก? ด้วยฐานะที่สูงศักดิ์ของท่าน ในแผ่นดินนี้คงมีคนมากมายอยากจะใช้ถวายการรับใช้ท่าน ช่วยรักษาอาการของลูกชายท่านให้หายได้ ทรงอภัยด้วยที่หวินหลานคงช่วยท่านไม่ได้อีก” โล่หวินหลานพูดจบก็คิดจะเดินออกไปเลย
ต้วนชิวเยนรู้สึกเสียใจ นางเงยหน้าขึ้นมา นางไม่ได้สนใจฐานะของนางในตอนนี้อีกแล้ว นางจับมือโล่หวินหลานเอาไว้ แล้วพูดว่า “หวินหลาน ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรสงสัยในการรักษาของเจ้า ข้าไม่ควรเชื่อคำพูดของหมอหลวงพวกนั้นแล้วให้มู่เอ๋อกินยามั่ว เจ้าหาทางช่วยมู่เอ๋อด้วยเถอะนะ”
ในที่สุดนางก็ยอมสารภาพออกมาแล้ว โล่หวินหลานยังคิดว่านางจะไม่กล้าพูดซะอีก
เมื่อวานหลังจากที่นางกลับไปแล้ว พวกหมอหลวงให้โม่ฉีมู่กินยามั่วจริงๆ ยาพวกนั้นมันทำให้ชีพจรของโม่ฉีมู่ไม่นิ่ง ขัดขวางการรักษาของนาง
หากเป็นอย่างนี้ต่อไป โม่ฉีมู่ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
นางหยุดเดิน แล้วยิ้มให้กับต้วนชิวเยน “พระสนมเพคะ ข้ารู้ว่าท่านไม่เชื่อว่าข้าจะรักษาอาการฝีดาษของหลินอ๋องให้หายได้ แต่ว่าทั่วทั้งแผ่นดินตอนนี้ต่างรู้ว่าข้ามารักษาอาการให้หลินอ๋องแล้ว หากข้าไม่อาจทำให้หลินอ๋องฟื้นขึ้นมาได้ มันไม่กลายเป็นเรื่องตลกหรอกหรอ?”
หากโม่ฉีมู่ตายในกำมือของนางจริง นางจะต้องรับผิดชอบคนเดียว ความรับผิดชอบนี้นางรับมันไม่ไหวแน่นอน นางไม่โง่ขนาดนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก