ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 224

ตอนที่224 การเป็นบ่าวรับใช้ของอ๋องอู่เซวียน

โม่จื่อเฟิงเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ค่อยๆหันกลับมา แค่นน้ำเสียงเย็นชา “อย่างไรกัน บอกข้าให้นางเข้าวังมาเรียนกฎธรรมเนียม คือเรียนรับความทรมานอย่างไรน่ะหรือ? หรือพวกเจ้าต้องการอยากทรมานนางให้ตาย หลังจากนั้นก็ให้ข้าแต่งกับสตรีที่พวกเจ้าต้องการให้แต่งงั้นหรือ? ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเจ้าก็กล่าวออกมาเลยว่าข้าต้องแต่งกับผู้ใด? สตรีเพียงแค่ไม่กี่คน? อ๋องอู่เซวียนมีปัญญาเลี้ยงดู เพียงแค่พวกนางต้องยินยอมครองตัวเป็นม่ายตลอดชีวิตเหมือนกับเซียวฉางเยว่!”

เมื่อกล่าวจบ โม่จื่อเฟิงก็อุ้มหลินซินเยียนเดินออกไปจากป่าเหมย ทิ้งทุกคนไว้ให้มองตากันปริบๆ

ใต้ฟ้าผืนนี้ เกรงว่าคงมีเพียงแค่โม่จื่อเฟิงที่กล้าวางสีหน้าท่าทางเช่นนี้ต่อหน้าฮ่องเต้โม่จื่อยี่ อีกทั้งภาพนี้ดูเหมือจจะไม่ขัดความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย

จนทุกคนได้สติกลับมา อ๋องอู่เซวียนก็อุ้มหลินซินเยียนออกไปจากป่าเหมยแล้ว

ภายในป่าเหมย องค์ฮองเฮายังตัวสั่นอยู่เล็กน้อย เพราะว่านางไม่ใช่แค่รู้สึกถึงไอสังสังหารของโม่จื่อเฟิง ทว่ายังได้เห็นสีหน้าอันมืดครึ้มของฮ่องเต้ นางติดตามพระองค์มานานหลายปี นางไม่ได้คิดว่าสีหน้าของเขานั้นดูแย่เพราะเนื่องจากอ๋องอู่เซวียนแสดงอารมณ์กับเขาอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะว่านางไม่ได้ดูแลหลินซินเยียนให้ดีต่างหาก

หลายปีมานี้ คนภายนอกนั้นบางทีก็จะมองเห็นว่าโม่จื่อยี่คือฮ่องเต้ โม่จื่อเฟิงคือขุนนางเชื้อพระวงศ์ แต่ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอันใด นางที่ติดตามโม่จื่อยี่มาหลายปี กลับพบว่าเดิมทีที่บุคคลทั้งสองควรจะต่อสู้กันอย่างลับๆ แต่ความรู้สึกระหว่างพวกเขานั้นกลับลึกซึ้งกว่าความเป็นพี่น้องกว่าคนธรรมดาทั่วไป

ความโกรธของโม่จื่อเฟิงเป็นของจริง และโม่จื่อยี่ก็โมโหเนื่องจากความโกรธของโม่จื่อเฟิงอีกที

ฮองเฮาไม่กล้ากล่าวคำใด และผู้นำที่เสนอตัวออกมาในยามนี้กลับเป็นเว่ยกุ้ยเฟยที่มีกลิ่นอายความอ่อนโยน “ฝ่าบาทเพคะ ดูเหมือนว่าครั้งนี้อ๋องอู่เซวียนจะห่วงใยในตัวแม่นางหลินจริงๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว อ๋องอู่เซวียนก็คงโกรธเพียงชั่วครู่ กลับไปหม่อมฉันจะนำของกำนัลไปเยี่ยมน้องสาวหลินที่จวนอู่เซวียนอ๋อง เช่นนี้ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วเพคะ”

คำบางคำที่กล่าวอย่างใส่ใจอย่างมีเหตุมีผล ก่อนหน้านี้ยังเป็นแม่นางหลิน ยามนี้ได้กลายเป็นน้องสาวหลินเสียแล้ว ในความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆนี้ สตรีในวังหลังที่ได้ฟังล้วนเข้าใจถึงความหมายนั้น

เพียงแต่ความคิดของบุรุษจะอย่างไรก็ไม่ละเอียดอ่อนเท่าเหล่าสตรี คำพูดของเว่ยกุ้ยเฟยนับว่าทำให้ปลอบใจของโม่จื่อยี่ได้บ้าง เขาพยักศีรษะพลางกล่าวว่า “มีแต่เจ้าใจดี”

“เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่หม่อมฉันควรจะทำ อุปนิสัยของน้องหลินหม่อมฉันเองก็ชอบพอยิ่งนัก ถึงแม้จะไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของอ๋องอู่เซวียน หม่อมฉันเองก็ใคร่อยากสนิทชิดเชื้อกับน้องสาวผู้นี้สักครั้ง ที่จริงแล้วสหายหม่อมฉันก็ไม่มากนัก ผู้ที่ยังไปมาหาสู่กันอยู่ก็ไม่กี่คนเองเพคะ”

รัศมีในดวงตาของเว่ยกุ้ยเฟยส่องประกาย ในขณะที่ทุกคนสนใจจื่อเฟิงแห่งจวนอู่เซวียนอ๋อง ในดวงตาของนางกลับมีเพียงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันโม่จื่อยี่ ฉะนั้นคนอื่นจึงไม่อาจเห็น แต่ทว่านางกลับพบว่าก่อนหน้านี้ในดวงตาของโม่จื่อยี่เผยแววชื่นชมหลินซินเยียน

สามารถเจริญก้าวหน้าได้รวดเร็วท่ามกลางในวังหลวง ยังอาจจะต้องได้รับพระหฤทัยของฝ่าบาทบ่อยๆ จะอาศัยแค่การสังเกตสีหน้าท่าทางแสร้งปรับใจตามผู้อื่น?

เพียงแค่ฉากนี้กลับทำให้ฮองเฮาเสียใจในภายหลังจนเกือบจะกัดฟันแตก

ราตรีมาเยือน ดวงดาวปกคลุมทั่วผืนนภา ส่องแสงระยิบระยับไปมา สะท้อนเข้านัยน์ตากลับเหลือเพียงภาพลวงอันเย็นชา

หมอหลวงเฉินผู้อาภัพอาศัยม้านั่งตัวหนึ่งหน้าประตูห้องครัว นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก หมอหลวงเฉินพลางถอนหายใจแหงนหน้าขึ้นมองกลุ่มดาวในความมืด ใบหน้าอันยับย่นเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เขาส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “โธ่เว้ย!”

โม่จื่อเฟิงถูกนางจ้องมองด้วยความแปลกประหลาดใจ พลันขมวดคิ้วถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง “แล้วเหตุใดข้าจึงจะจามไม่ได้?”

หลินซินเยียนกล่าวพลางหัวเราะว่า “หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่มักรู้สึกอยู่เสมอว่าท่านอ๋องไม่เหมือนกับคนทั่วไปเพคะ อืมม จะพูดอย่างไรดีล่ะ ถ้าในคำพูดของพวกเราก็กล่าวได้ว่าเป็นเทพบุตรในหมู่มวลเทพบุตร ที่ไม่ได้ทานอาหารเหมือนกับคนในโลกมนุษย์ เมื่อเกิดฉากธรรมดาติดดินเยี่ยงนี้จึงไม่คุ้นเคยอยู่บ้างเพคะ”

รายยิ้มแสนบริสุทธิ์และจริงใจของนาง ทำให้แววตาของโม่จื่อเฟิงที่มองไปไขว้เขวอยู่ชั่วครู่ เขาถึงกับต้องกลืนน้ำลาย “เจ้าที่อยู่ตรงหน้าข้า ก็ให้ความรู้สึกที่ไม่ค่อยคุ้นเคยแก่ข้า”

“เอ๋?” หลินซินเยียนมองเขากระพริบตาถี่ๆ

โม่จื่อเฟิงลุกขึ้นยืนแล้วนำชามโจ๊กวางไว้ที่ด้านข้าง พลันยื่นมือมาเชยคางของนางแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น “ที่ผ่านมา ความรู้สึกที่เจ้ามีให้กับข้าล้วนเป็นความดื้อรั้นและเล่ห์เหลี่ยม เห็นได้ชัดว่าอายุสิบขวบกว่า แต่บางครั้งดวงตากลับมีความเป็นผู้ใหญ่ทำให้คนหวาดเกรง เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง แล้วเจ้าผ่านประสบการณ์เช่นไรมาจึงได้บ่มเพาะให้เจ้าเป็นคนเช่นนี้ได้?”

หลินซินเยียนส่งเสียงหัวเราะเบาๆ “ท่านอ๋องเพคะ ข้าเป็นสตรีมีชาติกำเนิดจากหอนางโลม พบเห็นนิสัยผู้คนมานับร้อยนับพัน แน่นอนว่าย่อมไม่เหมือนกับเด็กหญิงวัยสิบขวบทั่วไปแน่นอนเพคะ”

คนที่มีชีวิตมาสองภพอย่างนาง เนื้อแท้ภายในเป็นหญิงสาววัยรุ่นตอนปลายที่เกลียดการแต่งงาน จะให้บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนกับสาวน้อยวัยแรกรุ่นได้อย่างไร?

“โอ้? ชาติกำเนิดหญิงหอนางโลมงั้นหรือ?” โม่จื่อเฟิงยิ้มโดยที่ไม่กล่าวอะไร สายตาตรึงดวงตาของนางไว้ “จนถึงยามนี้ เจ้ายังเล่นแง่กับข้าอยู่อีกหรือ? เจ้าแน่ใจ หรือจะให้ข้าพูดความจริง? ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งเดียว เจ้าสามารถเลือกที่จะพูดหรือไม่พูดก็ได้ แต่เจ้าน่าจะรู้ดีว่าข้าไม่ใช่คนที่ใครจะมาล้อเล่นด้วยได้”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต