ตอนที่ 46 นางยังคิดจะแต่งงาน
ฝูงชนล้วนแยกย้าย อินฉีกลับยังคงโอบไหล่ของหลินซินเยียนไว้ ราวกับว่าไม่ได้สังเกตอาการที่น่าอึดอัดใจดังกล่าว
“ใต้เท้า ท่านปล่อยข้าได้หรือไม่เจ้าคะ?” หลินซินเยียนก้าวถอยหลังเล็กน้อย และรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยกับเขา
อินฉีปล่อยนางด้วยความขุ่นใจ ใบหน้าเผยรอยยิ้มอย่างมีนัยยะ “แม่นางหลิน เจ้าจำไม่ได้จริงๆหรือ?”
หลินซินเยียนไม่ได้พูดอะไร ไม่พูดว่ารู้จักและก็ไม่ได้พูดว่าไม่รู้จัก
เมื่อเห็นท่าทางอันชืดชาเช่นนี้ของนาง อินฉีจึงทอดถอนใจพลันกล่าวว่า ช่างเถิด เจ้าชนะแล้ว ข้ารู้ว่าการปกปิดตัวตนในยามพบกันครั้งแรกนั้นไม่พึงเรียกว่าสุภาพบุรุษ แต่แม่นางโปรดเชื่อว่าข้ามิได้มีเจตนาที่จะหลอกลวงเจ้า ในยามแรกนั้นยากที่จะเอ่ย”
“ใต้เท้าอินเกรงใจไปแล้ว ท่านเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้าย แน่นอนว่าย่อมต้องมีเรื่องสำคัญจึงได้อำพรางตัว ข้าน้อยมิกล้าที่จะขุ่นเคืองใดๆ นอกจากนี้ เมื่อสักครู่ขอบคุณที่ใต้เท้าอินทำการขัดแย้ง ข้าน้อยซาบซึ้งใจยิ่งนัก ในยามที่หลินซินเยียนกล่าวได้ประสานมือย่อกายคารวะอยู่ซ้ำๆ
อินฉีได้ยกมือปรามเพื่อหยุดการคำนับของนาง กล่าวให้ชัด แม่นางต่างหากจึงจะเป็นผู้ที่เคยช่วยข้าไว้ ออกแรงลงมือครั้งนี้ไม่คุ้มค่าแก่การกล่าวขวัญ ใช่แล้ว แม่นางหลินมาเมืองหลวงได้อย่างไร?
เขารู้อยู่แล้วแน่นอนว่านางติดตามโม่จื่อเฟิงมายังวังหลวง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาอดไม่ได้ที่จะถามประโยคนี้ บางทีเป็นเพราะว่าอยากจะได้ยินอะไรบางอย่างจากปากนาง
ข้าน้อย...ติดตามญาติมาเยี่ยมญาติ ท้องฟ้าก็มืดค่ำแล้ว ข้าน้อยต้องกลับแล้ว หลินซินเยียนค้อมศีรษะลาอย่างตะขิดตะขวง ไม่สามารถพูดได้ว่านางเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของใครบางคน
อ้อ..... ในน้ำเสียงของอินฉี เผยให้เห็นถึงความเศร้าบางส่วนที่แม้กระทั่งตัวเขาเองไม่ได้สังเกตเห็น
หลินซินเยียนคารวะอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน ใต้เท้าอิน ไว้พบกัน”
“ไว้พบกัน” ประโยคนี้ติดอยู่ภายในลำคอของอินฉี แต่ในยามที่หลินซินเยียนหมุนกายอย่างงามสง่าพลันอดไม่ได้ที่จะรั้งแขนของนางไว้
หลินซินเยียนหันกลับมามองเขาด้วยความสงสัย ใต้เท้าอินยังมีธุระอันใดหรือเจ้าคะ?
อินฉีนิ่งตะลึง พลันกล่าวว่า ในเมื่อมีวาสนาได้พบกันอีกครั้ง ข้าอยากให้พวกเรานับเป็นมิตรสหาย ถ้าหากแม่นางพบเจอกับเรื่องลำบากสามารถมาหารือปรึกษาข้าได้ ถึงแม้จะไม่แน่ว่าจะต้องช่วยแก้ปัญหาเสมอไป แต่เพิ่มคนช่วยออกความคิดเห็นก็ยังดี
สำหรับการริเริ่มแสดงความเป็นมิตรที่ไม่คาดคิดของเขา ในใจหลินซินเยียนแปลกประหลาดอย่างมาก ตัวตนเช่นอินฉีนับว่าเป็นผู้มีอำนาจท่ามกลางกลุ่มผู้มีอำนาจในสายตานาง นางไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้ที่คบมิตรสหายได้สบายๆเช่นนี้
“แม่นางหลิน เจ้าอย่าได้คิดมาก ง่ายที่จะพานพบ แต่เป็นคนรู้ใจนั้นกลับยาก ข้าเพียงแค่คะนึงถึงมิตรภาพครั้งสุดท้ายที่อุ่นสุรา ใต้หิมะโปรยก็เท่านั้น ไม่คิดเลยเถิดกับแม่นางโดยเด็ดขาด อาการตื่นตัวที่เห็นได้ชัดของนางทำให้อินฉีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากอธิบาย ในใจนั้นจนปัญญา หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ไม่ว่าบุรุษหรือสตรี แต่โดยทั่วไปถ้าเขาริเริ่มแสดงความเป็นมิตร ใครบ้างที่ไม่มารีบประจบเขา ซึ่งก็คือสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ คาดไม่ถึงว่าไม่มีท่าทีแม้แต่น้อยแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
หลินซินเยียนลังเลอยู่ชั่วครู่จึงพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณใต้เท้าอินที่หวังดี”
ในขณะที่สองคนกำลังสนทนากันอยู่ ที่ปลายถนนพลันมีเสียงกีบเท้าม้าดังขึ้นด้วยความรีบเร่ง เป็นมู่เหอที่ได้เคลื่อนย้ายกำลังเสริมมาช่วย
ที่อยู่ข้างหน้าคือจินมู่ เขานำทหารองครักษ์แห่งจวนอ๋องหลายสิบนายรีบรุดมา เมื่อพบหลินซินเยียนอยู่ด้วยกันกับอินฉี กลับเกิดความตระหนกตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงพลิกตัวลงจากม้า ประสานมือกับกำปั้นคำนับแก่อินฉี คารวะท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย!
ในฐานะที่เป็นองครักษ์ประจำกายของโม่จื่อเฟิง จินมู่มีวาสนาเคยพบอินฉีอยู่หลายครั้ง สำหรับเสนาบดีฝ่ายซ้ายวัยหนุ่มเช่นนี้ ใครก็ตามที่เคยพบคงไม่สามารถลืมได้โดยง่าย
อินฉีส่งเสียงตอบรับ หลังจากโบกมือร่ำลากับหลินซินเยียนจึงหันหายจากไป
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่พอใจ?” โม่จื่อเฟิงถามด้วยเสียงราบเรียบ
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ”
ถ้าหากเจ้าอยากนั่งดื่มชากับข้า เช่นนั้นก็จงปรนนิบัติข้าให้ดี ถ้าหากข้าอารมณ์ดีบางทีอาจจะอนุญาตให้เจ้าเป็นพระชายารองของข้า เป็นพระชายารองแห่งจวนอ๋องก็นับว่าเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง ครั้นแล้วผู้อื่นก็จะมาปรนนิบัติเจ้า เป็นเรื่องยากที่เขาจะต้องพูดประโยคยาวเช่นนนี้ในหนึ่งลมหายใจ
หลินซินเยียนอดไม่ได้ที่กระตุกมุมปาก บางทีวันนี้ได้เจอกับเรื่องอยุติธรรมมากเกินไป ในใจเดิมที่มีโทสะ เมื่อเจอเข้ากับท่าทางอันสูงส่งของเขาอีกครั้ง ยิ่งไม่ลงรอยเข้าไปใหญ่
“ท่านอ๋อง เรื่องพระชายารองนั้นช่างเถิดเพคะ หม่อมฉันไม่มีชีวิต อย่างไรก็เป็นแค่สตรีกำเนิดจากซ่องเท่านั้น ท่านอย่าได้สิ้นเปลืองเงินจวนอ๋องมาเลี้ยงดูหม่อมฉันเลยเพคะ รอหม่อมฉันสร้างอาวุธหน้าไม้ขึ้นมาได้สำเร็จ หม่อมฉันก็จะจากไปให้ไกล ทาสต่ำต้อยกำเนิดจากซ่องเช่นหม่อมฉัน ก็สมควรแต่งให้กับพ่อค้าเร่ใช้ชีวิตขมขื่นไปวันๆ”
เมื่อหลินซินเยียนรินชา ก็ไปยืนยันด้านข้างโดยไม่กล่าวอะไรต่อ
ขณะที่โม่จื่อเฟิงถือถ้วยชา สายตามองยังบนใบแก้มของนางด้วยความคิ้วขมวด ผู้หญิงคนนี้ ทนรอไม่ไหวที่จะจากไปขนาดนี้เลยหรือ? เป็นผู้หญิงของเขาแล้ว ยังคิดจะแต่งออกให้ผู้อื่นอีก?
ถ้วยชาถูกเขาบดจนแหลกละเอียด เขายื่นมือไปดึงนางมาไว้ในอ้อมกอดของตน เป็นผู้ใดที่ให้ความกล้าเจ้ามาพูดกับข้าเช่นนี้?
ท่านอ๋อง หม่อมฉันกล่าวอะไรผิดไปหรือเพคะ? ตัวตนหม่อมฉันนั้นต่ำต้อย เป็นข้าทาส ไหนเลยจะคู่ควรสมรสกับท่านอ๋อง? นางแค่นเสียงเย็น อย่าได้กล่าวว่าเป็นพระชายารอง ต่อให้นางเป็นหวางเฟย ถ้าหากชั่วชีวิตนางต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่บุรุษเป็นใหญ่เช่นนี้ นางเลือกที่จะไม่แต่งงานตลอดชีวิต!
โม่จื่อเฟิงบังคับให้นางนั่งอยู่บนตักของตน ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ทอดลงมา ทำให้ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนกระเพื่อมไปด้วยรัศมีสีเหลืองทองอันพร่าพราง นิ้วมือของเขาลูบไล้ไปบนริมฝีปากนาง ไม่เป็นพระชายารองของข้า แล้วเจ้าอยากเป็นภรรยาของอินฉีหรืออย่างไร? เจ้าคู่ควรงั้นหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต
ลูกหาย5555...
นางเอกเป็นพวกชอบความเจ็บปวด อ่านแล้วเหนื่อย เหมือนเราเห็นชีวิตคู่ผัวซ้อมเมีย แล้วอยากจะช่วยให้เค้าออกมา ผู้หญิงบอกไม่ต้อง เค้าถูกจริตแบบนี้ สงสารน้องชาย ช่วยมาก็จริง ทุกคืนต้องมานอนฟังอีผัวเมียคู่นี้มันทำร้ายกัน ป่วยจิตสุดๆ...
ทำไมนางเอกไม่คิดประกิษฐ์อาวุธไว้ป้องกันตัวเลยสักที เจอเหตุร้ายตลอดแต่ไม่เคยคิดปกป้องตัวเอง แล้วบอกว่าเป็นนักสร้างอาวุธนี่นะ...