ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 81

ตอนที่ 81 ให้เจ้ามีชีวิตที่ดีแน่

(ฟีนิกซ์ได้รับการฟื้นฟูจากความทุกข์ทรมานของไฟและความทุกข์ทรมานและได้รับการยกระดับในการเกิดใหม่เรียกว่านกฟีนิกซ์นิพพานซึ่งหมายถึงจิตวิญญาณของความเพียรที่ไม่กลัวความเจ็บปวดไม่กลับไม่กลัวที่จะแสวงหาอย่างต่อเนื่องและส่งเสริมตนเอง)

ท้องฟ้าเป็นสีเทาหม่น แม้แต่แสงส่องจากดวงตะวันก็มองไม่เห็น

ท้ายตรอกลึกเล็กๆแห่งหนึ่ง มีรถม้าคันหรูจอดอยู่ ทั้งสองข้างของรถม้ายังมีองครักษ์อีกหลายสิบนาย ถ้าหากเป็นในช่วงเวลาปกติคงสามารถดึงดูดผู้ที่อยู่อาศัยในตรอกซอยออกมาดูได้ในทันที เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่ารถม้าลักษณะนี้เป็นของครอบครัวใหญ่สกุลใด แล้วทำไมจึงได้มาอยู่ในตรอกที่ห่างไกลเช่นนี้

แต่ทว่าวันนี้มีการแข่งขันเรือมังกร ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่มาอยู่ที่ริมแม่น้ำ หลายครอบครัวในตรอกซอยก็มาตามๆกัน ฉะนั้นแม้ว่ารถม้าและองครักษ์จะอยู่ที่นั่น แต่กลับไม่มีใครพบเห็นเลยแม้แต่ผู้เดียว

เมื่อหลินซินเยียนถูกโม่จื่อเฟิงโยนลงไปบนเตียงอย่างหยาบคาย ภายในเรือนเงียบสงัดไร้สำเนียง มีเพียงแมลงเรไรที่ส่งเสียงร้องเป็นครั้งคราว ที่ยังคงพิสูจน์ได้ว่ากาลเวลายังคงดำเนินอยู่

“ข้ากลับดูแคลนเจ้าไป แม้แต่เสนาบดีซ้ายอินฉีเจ้าก็ยังสามารถติดต่อได้” น้ำเสียงของโม่จื่อเฟิงฟังดูสงบอย่างมาก เพียงแต่ความโหดร้ายที่หลั่งไหลออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้นที่ทำให้คนรู้ว่าเขากำลังโกรธอยู่จริงๆ

หลินซินเยียนทราบดี ยิ่งในสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่เช่นนี้ พวกบุรุษเอาแต่สนใจความจงรักภักดีของสตรีที่อยู่รอบกาย บางทีนี่อาจจะไม่ใช่ความรัก เป็นความปรารถนาในการครอบครองล้วนๆ

ทำไมจึงไม่พูด? ไม่แก้ตัวหน่อยหรือ? โม่จื่อเฟิงเห็นนางเงียบมิส่งเสียง จึงโน้มตัวไปด้านหน้าและกระชากเสื้อผ้าของนางออก อย่างไร ข้าไม่สนองความพอใจแก่เจ้าหรือ? ถึงทำให้เจ้ายังคิดไปสานสัมพันธ์กับบุรุษอื่น!”

นางจะสามารถพูดอะไรได้? ถ้าหากคำอธิบายมันมีประโยชน์ ก็คงไม่มีเรื่องใหญ่ถึงเช่นนี้หรอก นางทราบว่าในยามนี้ นางจะพูดอะไรไปล้วนไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ จำเป็นจะต้องพูดด้วยหรือ?

นางนอนนิ่งไม่ไหวติง ปล่อยให้โม่จื่อเฟิงกระชากสายคาดเอวมัดนางไว้อย่างหยาบคาย

“ยังไม่พูดอีกรึ?” ในที่สุดน้ำเสียงของโม่จื่อเฟิงพลันมีโทสะเจืออยู่

หลินซินเยียนกลับจ้องเขาอย่างตรงๆพลันส่ายศีรษะ “ผู้บริสุทธิ์ มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง”

“ผู้บริสุทธิ์ มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้างงั้นเรอะ!” โม่จื่อเฟิงกัดเข้าที่ลำคอของนาง เลือดอุ่นๆสีแดงสดไหลออกจากลำคอนางในฉับพลัน นางเจ็บปวดจนคิ้วขมวดชนเข้าหากัน แต่กลับมิเอ่ยปากขอร้องความเมตตา

ภายในเรือน มีเพียงจินมู่และมู่เหอที่ยืนอยู่ตรงมุมซึ่งไกลที่สุดจากห้อง พวกเขาทั้งสองไม่มีใครกล่าวอะไรออกมา ราวกับปลาไม้ที่ไม่มีเคาะใดๆ (ปลาไม้หรือมู่อวี๋ไม้ที่พระจีนเคาะไปด้วยเวลาสวดมนต์)

ภายในห้อง เสียงความเจ็บปวดที่อดกลั้นไว้ดังแว่วออกมาเป็นระยะ เสียงไม่ได้ดังมากนัก แต่กลับมีพลังทะลุทะลวงอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้ผู้ที่ได้ยินความเจ็บปวดทรมานนี้ รับรู้ถึงความเจ็บปวดร่วมกันอย่างง่ายดาย

ในที่สุดมู่เหอก็ทนไม่ไหวจนต้องใช้สองมือปิดหูของตนเอง และกล่าวกับจินมู่ “ท่านแม่ทัพจินมู่ ท่านพูดอะไรหน่อยสิขอรับ”

“ไม่มีอารมณ์” จินมู่ตอบกลับเพียงไม่กี่คำ ก็หันกลับไปยกมือกอดอกต่อด้วยความนิ่งเฉย

มู่เหอที่กำลังเอามือป้องหูไม่กล้าเหลือบมองไปทางห้องนั้น ผ่านไปเพียงไม่นาน เขาพลันลดมือลงและถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงไปรั้งแขนของจินมู่ “ท่านแม่ทัพจินมู่ ท่านอยู่กับท่านอ๋องมานานที่สุด ท่านอ๋อง...ทำเรื่องเช่นนี้กับสตรีทุกคนหรือไม่?”

จินมู่คาดไม่ถึงว่ามู่เหอจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา เขาสูดมุมปากพลันตอบว่า “เรื่องของนายท่าน เป็นการดีกว่าที่เจ้าจะไม่รู้”

“ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าแม่นางหลินนั้นช่างน่าเสียสงสารเสียเหลือเกิน” มู่เหอก้มศีรษะลง นึกถึงสตรีที่มักจะสุภาพกับผู้คนอยู่เสมอ ในยามนี้ที่ปลดปล่อยเสียงครวญครางเจ็บปวดออกมา จนที่สุดแล้วนางคงทนไม่ไหว

จินมู่ส่ายศีรษะ ตบลงบนบ่าของมู่เหอราวกับน้องชาย “นายท่านผิดหวังกับสตรีตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน ดังนั้น….”

เอ้อร์ยาเห็นเขาเกิดโทสะเช่นนี้ ทำได้เพียงแค่รีบมุ่งไปยังห้องครัวด้วยความตกใจ เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาเหลือบมอง ด้วยความบังเอิญทำให้นางเห็นอี้เซิงคุกเข่าร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนพื้น

ในใจของนางเกิดความเจ็บปวด ทันใดนั้นในดวงตาพลันมีน้ำใสๆไหลออกมา แม้ว่านางจะไม่ทราบว่าเหตุการณ์ภายในห้องนั้นเป็นเช่นไร แต่สามารถทำให้เด็กแข็งแกร่งอย่างอี้เซิงขัดขวางนาง กลับเลือกที่จะคุกเข่าร้องไห้ ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องดี และเป็นภาพที่รุนแรงอย่างมาก

เอ้อร์ยาปาดน้ำตา เชิดหน้าวิ่งเข้าไปยังห้องครัว นางจำได้ว่าในห้องครัวยังมีไก่อยู่ นางต้องเชือดไก่ ต้มน้ำแกงบำรุงร่างกายให้พี่สาว

อี้เซิงคุกเข่าฟูมฟายอยู่หน้าห้องประตูหลินซินเยียนอยู่นาน แต่กลับไม่กล้าที่จะส่งเสียงดัง เพียงแค่ร้องไห้อย่างอดกลั้นอยู่เงียบๆ จนกระทั่งสายตาของเขาพร่าเลือนเพราะตาบวมแดง เขาจึงกัดฟันแน่นและลุกยืนขึ้นมา

เขายืนที่หน้าประตูอยู่สักพัก จึงตะโกนบอกกับคนในห้อง “พี่! ท่านรอให้ข้าเติบใหญ่เสียก่อน! ข้าจะทำให้ท่านใช้ชีวิตอย่างมีความสุข!”

เสียงอันอ่อนโยน ที่ออกมาจากปากของเด็กอายุหกเจ็ดขวบ แต่กลับไม่ได้รู้สึกว่าเพียงเป็นคำพูดไร้สาระของเด็กคนหนึ่ง

เขาไม่รู้ว่าคนในห้องนั้นได้ยินหรือไม่… ในค่ำวันนั้นเอ้อร์ยาทำอาหารมาเต็มโต๊ะ ทว่าหลินซินเยียนไม่ได้ออกมาทาน

ตกดึกคืนนั้นอี้เซิงนอนไม่หลับ เอ้อร์ยาเองก็นอนไม่หลับ แต่ทว่าทั้งสองคนไม่ได้ออกมาจากห้องราวกับได้นัดไว้ และไม่มีใครไปรบกวนกับโลกส่วนตัวของอีกคน

เช้าวันถัดมาในขณะที่ท้องฟ้าเพิ่งจะมีแสงรำไร อี้เซิงตื่นขึ้นมาฝึกท่านั่งม้า ทันใดนั้นก็หันไปเห็นหลินซินเยียนที่นั่งอยู่ในเรือน สีหน้าของนางซีดขาว ในดวงตาหลงเหลือเพียงความสับสน นางนั่งเหม่อในเรือนอยู่นาน แม้แต่นกร่วงหล่นอยู่ข้างไหล่นาง ก็ไม่ได้รู้สึกตัว

อี้เซิงเจ็บปวดอยู่ภายในใจ เดินเข้าไปกุมใบหน้าของนางด้วยเนื้อบนฝ่ามือ “พี่ ท่านช่วยข้าไว้ไม่ให้ยอมแพ้ที่จะมีความหวัง ตอนนี้ท่านเองก็อย่าได้ยอมแพ้ ตกลงไหม?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต