เสิ่นเหลียงได้ยินแล้ว จากนั้นก็คิดอยู่ชั่วครู่ “ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่.....”
มู่น่อนน่อนเอาลิ้นจี่ยัดใส่ตู้เย็น พลางเอ่ยปากถามเธอกลับ “ไม่พูดเรื่องนี้ แกกินข้าวหรือยัง?”
“กินกับคนในกองถ่ายมาแล้ว” เสิ่นเหลียงพูดจบ พลางตบหน้าผากของตนเองทันที “ฉันเพิ่งฉุกคิดได้ ยังมีอีกเรื่อง ฉันดูคลิปที่แกไปให้สัมภาษณ์เอาไว้แล้วนะ นี่แกคิดจะทำอะไรขึ้นมาอีกเนี่ย?”
ตั้งแต่ครั้งที่แรกที่มู่น่อนน่อนขอให้เธอช่วยไปหานักข่าวมาให้ จากนั้นก็จุดไฟเผาวิลล่าแล้วหนีไป เสิ่นเหลียงยังรู้สึกกลัวมู่น่อนน่อนขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อก่อนเธอรู้ว่าตัวเองชอบหาเรื่องไปทั่ว ทว่าตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนเก่งกาจกว่าเธอมาก
มู่น่อนน่อนยิ้มและตอบกลับมา “ก็ถอดแบบมาจากบท《เมืองพัง》ไง”
“ฉันเชื่อแกก็ประสาทไปแล้วแหละ” เสิ่นเหลียงกลอกตามองบนทันที
มู่น่อนน่อนถือถาดลิ้นจี่ที่ล้างสะอาดแล้วยื่นมาให้ตรงหน้าของเสิ่นเหลียง น้ำเสียงดูเคร่งขรึมเล็กน้อย “เสี่ยวเหลียง แผนการของตระกูลเฉินช่างล้ำลึกมาก ถ้าฉันไม่เริ่มเสนอตัวทำก่อนอะไรสักอย่างบ้าง ก็คงถูกพวกเขาจูงจมูกตลอดไป”
เสิ่นเหลียงได้ยินว่าเธอเอ่ยปากถึงตระกูลเฉิน ท่าทางดูจริงจัง “ยังไม่มีข่าวคราวของเสี่ยวมู่มู่อีกเหรอ”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าไปมา น้ำเสียงดูเย็นชาขึ้น “ฉันเดานะ ทางตระกูลเฉินจะต้องส่งคนมาหาฉันในเร็วๆ นี้แหละ”
……
เฉินถิงเซียวเดินออกมาจากอพาร์ทเม้นของมู่น่อนน่อน สือเย่ก็รีบอ้อมไปทางด้านหลังเพื่อเปิดประตูหลังให้กับเขาทันที
สือเย่ที่กำลังขับรถอยู่ พลางเหล่ตามองเฉินถิงเซียวทางกระจกด้านหลังอยู่เป็นครั้งคราว
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางเผยอปากพูด “มีเรื่องอะไรก็พูดมา”
เฉินถิงเซียวพูดออกมาเช่นนี้แล้ว สือเย่เลยไม่มีการลังเลอีกต่อไป พลางเอ่ยปากถามทันที “คุณชายไม่ไว้ใจ แล้วทำไมถึงได้ให้คุณหญิงน้อยย้ายออกมาได้?”
บรรยากาศในรถเงียบงันอยู่ชั่วครู่ น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูราบเรียบไม่ช้าไม่เร็วดังออกมา “ให้เธอย้ายออกมา เธอถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย”
สือเย่จำเรื่องราวเมื่อปีที่แล้วได้ เขากับเฉินถิงเซียวเคยคุยเรื่องนี้กันมาแล้ว เวลานั้นเฉินถิงเซียวพูดว่าอะไรนะ?
ตอนนี้ คำพูดของเฉินถิงเซียว ความหมายโดยรวมแล้วยอมเจ็บปวดไปด้วยกันไม่ใช่เหรอ?
พอเวลาผ่านไปครึ่งปีเอง ความคิดของเฉินถิงเซียวก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
……
มู่น่อนน่อนคาดเดาได้ไม่เลวเลย
เพราะว่าไม่นานนักตระกูลเฉินก็ส่งคนมาหาเธอทันที
คืนนั้นเธอกับเสิ่นเหลียงคุยกันอยู่สักพัก เสิ่นเหลียงยังมีงานช่วงเช้าที่ต้องไปทำ เลยขอตัวรีบกลับบ้านก่อน
ตารางงานของเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็คือการไปที่กองถ่ายละครตามเดิม
ทว่า เธอเพิ่งจะออกจากบ้านเท่านั้นเอง ก็เห็นรถยนต์สีดำขับมาจอดตรงด้านหน้าของเธอทันที
กระจกรถยนต์ลดระดับลง พลันปรากฏใบหน้าชายวัยกลางคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายเฉินถิงเซียว
“น่อนน่อน ไม่เจอกันนานเลยนะ”
แววตาของมู่น่อนน่อนพลันปรากฏอาการรังเกียจขึ้นมาทันที พลางหันเปลี่ยนเป็นความแปลกใจไปทันที “คุณเฉินเหรอคะ?”
เฉินชิงเฟิงยิ้มให้ ดูเหมือนเป็นผู้อาวุโสที่แสนอบอุ่นคนหนึ่ง “แม้ว่าตอนนี้คุณไม่ได้อยู่กับถิงเซียวก็ตาม ก็ไม่ต้องเรียกสิ้นเยื่อใยกันซะขนาดนั้น เรียกว่าลุงสักคำมันจะทำให้คุณลำบากไปไหม?”
แม้ว่าท่วงท่าของเขาที่ดูอ่อนโยนก็ตาม แต่ว่าตอนที่เขาพูดกับมู่น่อนน่อนนั้นกลับเอาแต่นั่งอยู่ในรถยนต์ จนแสดงความเหินห่างออกมา
มู่น่อนน่อนเรียกเขาตามน้ำไปทันที “คุณลุงเฉิน”
แววตาของเฉินชิงเฟิงแสดงอาการดีใจออกมา “นี่คุณกำลังจะไปไหน มีเวลาพอไปกินกาแฟกับฉันสักแก้วไหม?”
มู่น่อนน่อนยิ้มให้และพยักหน้าเล็กน้อย “มีเวลาแน่นอนค่ะ”
เธอเฝ้ารอคอยให้เฉินชิงเฟิงมาหาเธอ เธอไม่มีวันที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญของเขาอย่างแน่นอน
“ขึ้นรถสิ”
บีบแรงเกินไป จนเธอเจ็บจนน้ำตาไหลออกมา
เวลานี้เอง เธอเงยหน้าเพื่อมองเฉินชิงเฟิง จากนั้นก็ถามกลับด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “ตอนนี้คุณปู่ยังสบายดีอยู่ไหมคะ?”
เฉินชิงเฟิงราวกับไม่คิดว่าจะเสียใจถึงขนาดนี้ พลางชะงักเล็กน้อยจากนั้นถึงตอบกลับมา “เหมือนเดิมแหละ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง “งั้นฉันสามารถเข้าไปเยี่ยมเขาสักหน่อยได้ไหมคะ?”
ความจริงแล้วเธอก็อยากจะไปหาคุณท่านเฉินจริงๆ
แต่ว่าไม่มีเหตุผลที่สมควรมากพอ
“ได้สิ” สีหน้าที่มีรอยยิ้มของเฉินชิงเฟิงจู่ ๆ ก็เก็บสีหน้าทันที พลางเอ่ยปากถามอย่างเคร่งขรึม “คุณกับถิงเซียวเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ได้ยินเสี่ยวฉินเล่าว่า เขาเอาลูกไปแล้ว?”
เพล้ง--
มู่น่อนน่อนได้ยินเขาเอ่ยถึงลูก มือถึงกลับอ่อน ช้อนที่อยู่ในมือหล่นลงในแก้วทันที จนชนขอบถ้วยกาแฟ จนมีเสียงดังชัดที่ไม่ดังมากเท่าไหร่
นี่เฉินชิงเฟิงหมายความว่ายังไงกันแน่?
เขาต้องการหลอกถามเหรอ?
เขากำลังหลอกถามมู่น่อนน่อนเรื่องลูกว่ารู้เรื่องมากขนาดไหน หรือว่าต้องการหลอกถามความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวว่าสนิทสนมกันขนาดไหน และจะร่วมมือกับเธอนำเรื่องที่คนในตระกูลเฉินลักพาตัวเด็กไปงั้นเหรอ?
มืออีกข้างที่วางอยู่ใต้โต๊ะของมู่น่อนน่อนกำหมัดไว้แน่น พลางผ่อนแรงออก
เธอไม่รู้ว่าจะตอบกลับคำถามนี้อย่างไรดี พลันก้มหน้าก้มตาลง และแสดงท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวเจียนตายออกมา
ทุกครั้งที่นึกถึงเฉินมู่ ในสถานการณ์ที่ถูกกดดันนั้น น้ำตาพลันไหลออกมาเองทันที
เฉินชิงเฟิงหรี่ตาลง และก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พลางค่อยๆ เอ่ยถาม “ครั้งนี้เฉินถิงเซียวก็ทำเกินเหตุจริงๆ แม้ว่านับญาติกันฉันจะเป็นปู่ของลูกคุณก็ตาม เด็กคนนี้ก็ต้องอยู่ที่บ้านตระกูลเฉินสิ แถมตอนนี้เธออายุยังน้อยมากเหลือเกิน จะพูดยังไงก็ต้องให้เติบโตอยู่ข้างกายของแม่ถึงจะถูกสิ”
มู่น่อนน่อนปิดหน้าปิดตาร้องไห้โหทันที “ขอโทษค่ะคุณลุงเฉิน ฉันเสียใจมากเหลือเกิน....”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...