มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก พูดต่อว่า “ฉันถึงขั้นคิดว่า ที่พวกเขาแอบสับเปลี่ยนเฉินมู่ไป มันต้องเกี่ยวกับที่พวกเขาพยายามปกปิด!”
ครั้งนี้ คำตอบของเธอคือความเงียบจากปลายสายไปเป็นระยะเวลานาน
ผ่านไปสักพักหนึ่งมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ยินเสียงเฉินถึงเซียว จึงพูดขึ้นว่า “เฉินถิงเซียว คุณเป็นอะไร”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเข้มขึ้น “ผมรู้แล้ว จำที่ผมบอกเมื่อคืนได้ไหม เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่งอีก”
เขาพูดจบก็วางสายไปทันที
มู่น่อนน่อนมองหน้าจอมือถือที่ย้อนกลับมาที่หน้ารายชื่อผู้ติดต่อ เกิดอาการค่อนข้างฟุ้งซ่าน
ทำไมเฉินถิงเซียววางสายไปแบบนี้
เมื่อก่อนเขาจะให้เธอวางสายก่อน
…….....
เฉินถิงเซียววางสายของมู่น่อนน่อนไปแล้ว กำมือถือในมือแน่น จนนิ้วขึ้นข้อขาว
สือเย่เข้ามาพร้อมกับหอบเอกสารมาด้วยปึกหนึ่ง เห็นเฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงหน้าต่างกระจกบานยาวโดยสัมผัสได้ถึงความเย็นชา
เขาวางเอกสารลงบนโต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียว ก่อนจะเรียกเขา “คุณผู้ชาย”
“มีบุหรี่ไหม”
เฉินถิงเซียวไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่เขากลับถามสือเย่ เพราะถึงอย่างไรในห้องทำงานนี้ก็มีเพียงเขากับสือเย่แค่สองคน
ตัวสือเย่ไม่ได้สูบบุหรี่มากนัก แต่พกบุหรี่ตลอดเวลา
เขาหยิบเอากล่องบุหรี่ออกมา ดึงหนึ่งมวนให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่ได้รับบุหรี่ที่เขาส่งมา แต่เอาทั้งกล่องไป ส่วนมืออีกข้างก็จุดไฟแช็กไปด้วย
เฉินถิงเซียวลดสายตาลง ดึงบุหรี่ขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก และพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ออกไป”
สือเย่ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเตือนเฉินถิงเซียวว่า “อีกสิบนาทีจะมีการประชุมนะครับ......”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร แต่สือเย่รู้ว่าเขาได้ยิน
หน้าที่ของเขาก็คือทำในส่วนของตัวเองให้ดี ส่วนอื่นๆ เขาควบคุมไม่ได้
หลังจากสือเย่ออกไป เฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงหน้าต่างกระจกบานยาวพร้อมกับสูบบุหรี่ มวนต่อมวน
สิบนาทีต่อมา สือเย่ก็มาเตือนเฉินถิงเซียวอีกครั้งว่าจะเริ่มประชุมแล้ว
ทันทีที่เข้าประตู เขาก็ไอเพราะควันบุหรี่ที่คลุ้งไปทั่วห้อง
เฉินถิงเซียวยังยืนอยู่ตรงหน้าต่าง สือเย่เดินเข้าไปพูดด้วยความเคารพว่า “คุณผู้ชาย การประชุมจะเริ่มแล้วครับ”
สือเย่หลือบไปเห็นก้นบุหรี่ตกลงทั่วพื้นตรงหน้าเฉินถิงเซียว กล่องบุหรี่ว่างเปล่าก็อยู่บนพื้นด้วย
เฉินถิงเซียวไม่ได้ติดบุหรี่ ทำไมจู่ๆ ถึงสูบหนักแบบนี้
หรือว่าเขาทะเลาะกับคุณหญิงน้อยอีกแล้ว
ครั้งนี้คงกระทบกระทั่งกันรุนแรง ถึงได้สูบบุหรี่หนักขนาดนี้
ขณะที่สือเย่กำลังคิดไปทั่ว เฉินถิงเซียวก็หันหลังและย่างสามขุมออกไปแล้ว
สือเย่รีบนำข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการประชุมตามหลังเฉินถิงเซียวไป
ผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดมาถึงแล้ว
“ท่านประธาน นี่เป็นแผนงานที่ปรับปรุงล่าสุดของเรา คุณลองดู......”
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปรับมา เมื่อกวาดตามองดูเสร็จแล้วจึงเอนหลังพิง โดยไม่พูดอะไรสักคำ ดวงตาดำเข็มลึกล้ำ ไม่มีใครมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ผู้บริหารระดับสูงที่ส่งแผนงานคิดว่าเฉินถิงเซียวไม่พอใจ จึงหน้าซีดทันที ส่วนที่เหลือก็มองหน้ากันไม่กล้าส่งเสียง
สือเย่เหล่ตาเหลือบมองเฉินถิงเซียว เขารู้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้หงุดหงิดเพราะเขาไม่พอใจกับแผนงานใหม่ แต่กำลังคิดเรื่องต่างๆ อยู่
ในห้องประชุมเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าพูด
“คุณผู้ชายสวัสดีค่ะ”
คนรับใช้เอ่ยทักทายเขาตลอดทาง
เขาเดินตรงไปยังห้องของเฉินเหลียน เมื่อถึงประตูก็ยกมือขึ้นเปิดเข้าไป
เฉินเหลียนได้ยินเสียง เมื่อหันมาจึงเห็นว่าเป็นเฉินถิงเซียว ดวงตาเกิดแววประหลาดใจ “ถิงเซียว เธอมาได้ยังไง”
“มีธุระกับคุณ” เฉินถิงเซียวยืนหน้าประตูไม่ได้เข้าไป สีหน้าเหี้ยมเกรียม
เฉินเหลียนดูจะค่อนข้างกลัวเขา สีหน้าเริ่มแข็งเกร็ง “มีธุระก็เข้ามาพูดสิ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้เข้าไป เขายืนอยู่หน้าประตู สีหน้าเย็นชาจนน่ากลัว “ใครคือแม่แท้ๆ ของซือเฉิงหยู้”
สีหน้าของเฉินเหลียนไม่ได้เปลี่ยนแปลง ส่ายหน้าและพูดว่า “ฉันไม่แน่ใจ”
“ไม่แน่ใจจริงเหรอ” เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปข้างใน สายตาล็อกอยู่ที่ตัวเธอ ทำให้เฉินเหลียนรู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงอย่างที่สุด
จิตใต้สำนึกสั่งให้เฉินเหลียนถอยหลังไปสองก้าว แต่น้ำเสียงยังนับว่านิ่งอยู่ “ฉันไม่รู้จริงๆ”
เฉินถิงเซียวมองเธอไม่กี่วินาที ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก แล้วยื่นมือไปจับไล่ของเฉินเหลียน พร้อมกับเปลี่ยนเป็นเสียงนุ่ม “ทำไมคุณป้ากลัวผมขนาดนี้ ผมแค่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เลยลองถามดูเท่านั้นเอง ยังไงซะผมกับซือเฉิงหยู้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันมาเกือบสามสิบปี......”
เฉินเหลียนดูจะตกใจกับการเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วของเฉินถิงเซียว เธอชะงักไปก่อนจะพูดไป “ฉันรู้ เรื่องนี้เธอกับเฉิงหยู้คงจะยอมรับไม่ได้ง่ายๆ......”
“ไม่ยอมรับแล้วยังไง สุดท้ายก็ครอบครัวเดียวกัน” ซือเฉิงหยู้ชักมือกลับ เอามือล้วงกระเป๋ากางเกง น้ำเสียงกลับสู่ความเฉยเมยตามปกติอีกครั้ง “ถ้าคุณป้าว่างก็ไปเดินเล่นที่บริษัทเฉินซื่อได้ ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้วนี่”
ดวงตาเฉินเหลียนเกิดแววประหลาดใจ “ได้”
“ผมยังมีธุระ ขอตัวก่อน” เฉินถิงเซียวพูดอย่างนั้นแล้วหันหลังเดินออกไป
เฉินเหลียนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันจะไปส่งเธอ”
เฉินเหลียนเดินมาส่งเขาออกจากบ้านเก่า เมื่อกลับถึงรถ เฉินถิงเซียวก็แบมือออก ข้างในเป็นเส้นผมยาวของผู้หญิง
มันคือตอนที่เขาจับไหล่ของเฉินเหลียนก่อนหน้านี้ แล้วหยิบเส้นผมออกมาจากเสื้อของเธอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...