ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม นิยาย บท 629

แม้ว่าในใจมู่น่อนน่อนจะครุ่นคิดเรื่องมากมาย แต่ว่าใบหน้ากลับไม่เปิดเผยออกมา เพียงแค่ยกรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้น:“ระวังน้ำเสียงคำพูดของคุณหน่อยนะ นี่คุณกำลังออกคำสั่งกับฉัน คุณคิดว่าฉันเหมือนกับอาลั่วเป็นลูกน้องของคุณเหรอ”

ลี่จิ่วเชียนเงียบไปชั่วครู่แล้วหัวเราะเบา ๆ :“น่อนน่อน ทำไมคุณถึงคิดอย่างนี้ ผมก็แค่เป็นห่วงคุณเท่านั้น เฉินถิงเซียวคนนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ ผมกลัวว่าคุณจะถูกเขาครอบงำ”

มู่น่อนน่อนจึงโมโหกลับ:“คุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาหรอก”

“เหอะ ๆ” ลี่จิ่วเชียนจึงฝืนหัวเราะขึ้น: “ถ้าหากว่าคุณไม่อยากจะบอกก็ช่างเถอะ ผมไม่ฝืนใจคุณ เพราะอย่างไรพวกเรานั้นก็เป็นเพื่อนกัน ผมจะไม่เหมือนนกับเฉินถิงเซียวที่บังคับคุณแบบนั้น”

มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะในใจ แต่ว่าน้ำเสียงนั้นกลับดีกว่าก่อนหน้านี้มาก

เธอถอดถอนใจ แล้วกล่าวอย่างจำใจ:“ถ้าคุณอยากจะรู้มากขนาดนี้ อย่างนั้นฉันจะบอกคุณให้รู้ก็ได้ เพราะถึงฉันไม่บอกคุณ คุณก็คงจะสืบรู้ได้เอง”

“น่อนน่อน คุณอย่าคิดมาก ผมแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้นจริง ๆ”

มู่น่อนน่อนเพิกเฉยต่อประโยคของลี่จิ่วเชียน:“เมื่อคืนจู่ ๆ เฉินถิงเซียวอยากจะไปเมืองเล็ก ๆ นั่น ฉันรู้สึกว่ากะทันหันเกินไป ดังนั้นจึงตามเขาไปด้วย ดูว่าเขาไปทำอะไร”

“แล้วเขาทำอะไร?” น้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนเปลี่ยนเป็นลนลาน

มู่น่อนน่อนคิดข้ออ้างดี ๆ ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว :“เขาไปรับเฉินจิ่งหยุ้นกลับมา”

พวกเขารับเฉินจิ่งหยุ้นกลับมาจริง ๆ ต่อให้ลี่จิ่วเชียนไปสืบเอง ก็คงจะสืบได้ ส่วนเฉินมู่ พวกเขาได้ระวังโดยตลอด ดังนั้นขอเพียงเฉินมู่ไปออกไปไหน ลี่จิ่วเชียนก็จะไม่รู้เรื่องราวของเฉินมู่

แต่ตอนนี้ได้รับเฉินมู่กลับมาที่เมืองหู้หยางแล้ว เรื่องนี้คิดว่าน่าจะปิดบังได้ไม่นาน

ลี่จิ่วเชียนได้ยินคำพูดของเธอ น้ำเสียงจึงเปลี่ยนเล็กน้อย:“เขากับเฉินจิ่งหยุ้นกลายเป็นศัตรูมองหน้ากันไม่ติดแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ คุณอยากรู้ก็ไปสืบเองแล้วกัน ฉันก็แค่อยากจะแก้แค้นเฉินถิงเซียวเท่านั้น สำหรับเรื่องระหว่างเขากับเฉินจิ่งหยุ้น ฉันไม่อยากจะรู้”

มู่น่อนน่อนพูดจบก็วางสายลง

เธอครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองเฉินถิงเซียวที่อยู่ไกล ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะได้ยินคำสนทนาของเธอกับลี่จิ่วเชียนเมื่อสักครู่หรือเปล่า

มู่น่อนน่อนเดินตรงไปหาเขา หลังจากที่เข้าใกล้แล้วก็เปล่งเสียงถามเขาขึ้น:“คุณจะไม่ไปดูสักหน่อยเหรอ”

เขาชี้ไปที่ห้องของเฉินจิ่งหยุ้น

เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร ดึงเธอแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือ

เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือ เฉินถิงเซียวก็ปิดประตูห้องทันที

จากนั้น เขาหันหลังให้กับมู่น่อนน่อนเดินตรงมาที่หน้าต่าง สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสูท แล้วจ้องมองไปด้านนอกหน้าต่าง ที่ดูท่าทางแล้วค่อนข้างหงุดหงิด

“เป็นอะไรไป” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปหา แล้วยืนอยู่ข้าง ๆ เขา

สักพัก เฉินถิงเซียวจึงเปล่งเสียงออกมา: “ต่อให้ผมจะไม่เห็นด้วย คุณก็จะดำเนินตามแผนของคุณใช่ไหม” มู่น่อนน่อนรู้ว่าเฉินถิงเซียวหมายถึงการแก้แค้นเขาปลอม ๆ จากนั้นก็แอบสืบความลับที่อยู่เบื้องหลัง

เธอกล่าวอย่างไม่ลังเลและกล่าวตรง ๆ :“ใช่ ต่อให้คุณจะไม่เห็นด้วย ฉันก็จะทำต่อไป”

เมื่อพูดจบเธอก็หันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เพียงถอนหายใจแล้วกล่าวเบา ๆ:“

โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นเฉินมู่แล้ว ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ฉันต้องจัดการให้ได้ ถ้าหากว่าไม่จัดการตั้งแต่เนิ่น ๆ ถึงจุดประสงค์ของลี่จิ่วเชียน มีความลับอะไร พวกเราก็คงจะไม่มีวันสงบสุข”

“คุณไม่เชื่อมั่นว่าผมสามารถจัดการเรื่องนี้ได้”

น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นชา ราวกับชั้นผนึกของน้ำแข็ง

“สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมฉันต้องทำ ฉันได้อธิบายให้คุณหลายต่อหลายครั้งแล้ว ว่าไม่ได้ไม่เชื่อมั่นคุณ เพียงแต่แค่อยากทำเพื่อคุณ เพื่อเฉินมู่ เพื่อพวกเราก็เลยอยากช่วยออกแรง”

“ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณมาโดยตลอด แต่ว่าจะให้คุณแบกรับทุกอย่างคนเดียวไม่ได้ ตอนนี้ลี่จิ่วเชียนกับคุณนั้นขัดแย้งกันแล้ว เขาสามารถอ่านใจคนออก แผนการแยบยล เบื้องหลังยังมีอำนาจมืดอีก เกราะป้องกันของเขาแข็งแกร่งมาก ตอนนี้มีเพียงฉันเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้เขาได้ นี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่เร็วที่สุด”

เห็นเฉินจิ่งหยุ้นในบ้านของเฉินถิงเซียว ทำให้คู่ดวงตาของเสิ่นเหลียงแทบถลนออกมา

เธอเงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อนด้วยแววตาสงสัย:เฉินจิ่งหยุ้นทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้

มู่น่อนน่อนทำเพียงส่ายหน้าเบา ๆ สื่อว่าอธิบายยาก

หลังจากที่เสิ่นเหลียงเห็นเฉินจิ่งหยุ้นแล้ว สีหน้าก็แย่ลง

เมื่อทานอาหารเสร็จ เธอจึงลุกขึ้น:“น่อนน่อน ฉันต้องไปแล้ว เธอไปส่งฉันหน่อย”

มู่น่อนน่อนรู้ว่าเสิ่นเหลียงมีเรื่องต้องการถามเธอ จึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

เธอส่งเสิ่นเหลียงถึงหน้าประตู เสิ่นเหลียงมองไปรอบ ๆ แล้วดึงมือของเธอไปข้าง ๆ จากนั้นถามขึ้น:“เฉินจิ่งหยุ้นนั้นคืออะไร เถ้าแก่ใหญ่ทำไมถึงพาเธอกลับมาพักบ้าน เขาเสียสติไปแล้วเหรอ”

“เฉินจิ่งหยุ้นเป็นมะเร็ง เกรงว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน” 

ประโยคนี้ของมู่น่อนน่อน ทำให้เสิ่นเหลียงพูดอะไรไม่ออก

คนเมื่อใกล้ตาย เรื่องหลายเรื่องก็มักจะถูกให้อภัย

ถึงแม้เสิ่นเหลียงจะเกลียดชังความชั่วร้าย แต่เมื่อได้ยินว่าเฉินจิ่งหยุ้นเป็นมะเร็ง คำพูดที่คมคายแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้อีก

เธอชะงัก ถามมู่น่อนน่อนด้วยความเป็นห่วง:“อย่างนั้นตอนนี้เธอใกล้จะตายแล้ว คงไม่มีแผนการชั่วร้ายอีกแล้วสินะ”

มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง:“น่าจะไม่แล้วมั้ง”

เสิ่นเหลียงทำเสียงฮึดฮัด:“ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เธอคอยยั่วยุ เธอกับเถ้าแก่ใหญ่ก็คงไม่ต้องแยกจากกันถึงสามปี!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม