ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 121

ไม่จำเป็นต้องเดา เขาก็รู้ทีนทีว่าฉินซูโหรวไปที่จวนของเซียวเฉวียนเมื่อวานนี้

ฉินเฟิงเป็นคนที่รักน้องสาวของตนเองมาก จนตอนนี้เขาแทบรอไม่ได้ที่จะหยิบดาบขึ้นมาฟาดฟันเซียวเฉวียนให้แหลกเป็นชิ้นๆ!

เขาจ้องไปที่เซียวเฉวียนครู่ใหญ่ รถม้าที่กำลังผ่านฝูงชนในเมืองนั่น กระแทกผู้คนไปมาจนเกิดเสียงร้องโอดโอย

ในเมื่อเห็นเช่นนี้ จะทำอะไรเซียวเฉวียนได้อย่างนั่นหรือ?

เซียวเฉวียนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก นับตั้งแต่เขากลับมาจากการต่อสู้ในเหวที่มืดมิด ทัศนคติของตระกูลฉิน โดยเฉพาะแม่เฒ่าฉินที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไป

มีเพียงฉินเฟิงเท่านั้นที่ยังคงเกลียดเขาดังเดิม

"กระบี่ฉุนจุน"

เซียวเฉวียนมองไปที่ดาบในอ้อมแขนของเขา ก็แค่การเข้าวัง และกระบี่นี้ไม่ได้นำพาความสว่างไสวอะไร เป็นเพียงกระบี่ฉุนจุน

ฉินเฟิงไม่ได้ขยับไปไหน เขาเม้มริมฝีปากแน่น และยังคงเงียบเหมือนเดิม

"ไม่หรือ? ไม่เป็นไร ยังไงท่านก็ต้องถามอยู่ดี”

เซียวเฉวียนยิ้มเล็กน้อย ฉินเฟิงกลับกลอกตาไปมา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเฟิงก็ถามเขาว่า "เจ้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่ออะไร?"

เซียวเฉวียนเลิกคิ้ว เป็นคำถามที่ดี

ในอดีตฉินเฟิงคิดว่ามีเพียงเหวินฮั่นจากสถานศึกษาชิงหยวน และอี้กุยจากศาลาคุนหวู่ที่สนับสนุนเซียวเฉวียน แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้มีอำนาจมากมาย แต่ก็ถือว่าเป็นแรงสนับสนุนที่ทรงพลังมากๆ สำหรับเซียวเฉวียน

ครั้งที่ต้องต่อสู้ในเหวที่มืดมิด คนอื่นอาจจะมองไม่ออก แต่ตระกูลฉินกลับรับรู้ได้ว่า เขาร่วมมือกับฝ่าบาท!

ก็แค่ฮุ่ยหยวนคนหนึ่ง แต่ฝ่าบาทกลับให้ความสำคัญกับมันถึงเพียงนี้!

“ชูววว นี่เป็นความลับ” เซียวเฉวียนยิ้ม เขากำลังเตือนฉินเฟิง ในเมื่อเขาล่วงรู้ความลับก็ควรที่จะเรียนรู้ที่จะหุบปากด้วย

ผู้คนในสังคมสมัยนี้ พวกเขาต้องระมัดระวังทั้งคำพูดและการกระทำ เพราะถ้าไม่ทำมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะถูกฆ่าปิดปาก

แม้ว่าฉินเฟิงจะเป็นบุตรชายผู้สูงศักดิ์ของจวนท่านนายพล แต่เขาก็ยังเป็นเพียงข้าราชบริพารขององค์ฮ่องเต้เท่านั่น

"เฮอะ..." คงจะเป็นเรื่องโกหกถ้าบอกว่าฉินเฟิงไม่ได้อิจฉา เพราะตัวเขาแทบจะไม่เคยเห็นฝ่าบาทเลย ไม่ต้องพูดถึงการทำงานให้กับฝ่าบาท แต่เซียวเฉวียน สามัญชนกับได้อยู่เคียงข้างฝ่าบาท

“เจ้าเก็บเป็นความลับมานานแค่ไหนแล้ว?” ฉินเฟิงกระแอม ความเย็นจากอากาศตอนรุ่งสางรุนแรงเกินไป “จ้าวชางและคนอื่นๆ บอกคนที่เรือนหวงเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และพวกเขารับรู้ได้ถึงบางอย่าง”

ตอนนี้เซียวเฉวียนค่อยๆ เติบโตขึ้นเป็นเสือที่ดุร้าย เมื่อฝ่ายของเว้ยเจียนกั๋วรู้ว่าเขาวางแผนต่อต้านเรือนหวง ฝ่ายของเว้ยเจียนกั๋วจะฆ่าเขาอย่างแน่นอน

“จ้าวชางพวกเขากล้าดียังไง?” เซียวเฉวียนหัวเราะ น้ำเสียงเยาะเย้ยเช่นนี้ทำให้ฉินเฟิงไม่พอใจอย่างมาก

ทหารม้าของจวนว่าการชั้นใน ไม่กล้าบอกรายละเอียดต่อทหารม้าปลอมพวกนั้น

เพราะทหารม้าปลอมที่แสร้งเป็นคนของจวนว่าการชั้นใน แท้จริงเป็นคนของฮ่องเต้

ตอนนี้ทุกคนคิดว่านี่เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากเจี้ยนชือใช้เพื่อดึงดูดเซียวเฉวียน

เมื่อเหล่าซานชือรู้เกี่ยวกับการต่อสู้ในเหวที่มืดมิด พวกเขาก็โกรธมาก โดยเฉพาะซือชือที่โกรธมากจนหมดสติลงกับพื้นทันที

ซือชือเสียใจที่เขาเลือกเซียวเฉวียน และโกรธยิ่งกว่าที่เจี้ยนชือไม่สนใจเรื่องนี้ และต่อต้านจวนอัครเสนาบดีเพื่อเซียวเฉวียน!

เขาเป็นเพียงบัณฑิต ถ้าเจี้ยนซือต้องการ ซือชือที่เห็นแก่ความรักใคร่ฉันท์พี่น้อง ก็จะหามาให้อย่างแน่นอน!

แต่คราวนี้เจี้ยนชือบ้ามาก!

อย่างไรก็ตาม คนของอัครเสนาบดีก็โง่อย่างกับหมูกับหมา พวกเขาปะทะกับเจี้ยนชือและยังทำให้หยู่หลินเว้ยตกใจอีกด้วย!

น่าเสียดายที่เจี้ยนชือจะไม่มีวันเชื่อใจความเป็นพี่น้องของซือชืออีก

ด้วยวิธีที่เซียวเฉวียนหว่านความขัดแย้งไปในหมู่พวกเขา และวิธีที่ทำให้ผู้คนของฮ่องเต้เริ่มสงครามภายในขึ้น

ในสายตาของพวกเขา เซียวเฉวียนดูเป็นผู้อ่อนแอ ถึงแม้จะเป็นฮุ่ยหยวนก็ตาม

ต่อมามีขันทีในปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ผู้รวบรวมเงินและใช้อำนาจเพื่อขัดขวางราชวงศ์ฮั่น จางร่างผู้นำกลุ่มขันทีทั้งสิบคน ครองราชสำนักและใช้อำนาจเปลี่ยนขาวเป็นดำ ก่อเหตุอาชญากรรมสังหารเหล่าข้าราชบริพาร

นอกจากนี้ยังมีหลิวจวินแห่งราชวงศ์หมิงซึ่งเป็นข้าราชบริพารที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์หมิง เขากลายเป็นขันที ในฐานะขันทีที่มีอำนาจ เขาใช้นามของฮ่องเต้เพื่อวิพากษ์วิจารณ์และทำเรื่องร้ายแรง

เขาเกลี้ยกล่อมให้เข้าไปในตำหนักเสือดาวอู่จง และจัดทำรายชื่อ "คนทรยศ" กวาดล้างข้าราชบริพารที่ซื่อสัตย์ห้าสิบหกคน

เขาอาศัยตงซีฉ่างและองครักษ์เสื้อแพร เพื่อปล่อยข่าวลือ สร้างความหวาดกลัวและทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ปลอดภัย จนท้ายที่สุดเขาได้ดำรงตำแหน่งเป็น "ฮ่องเต้"

แม้จะเป็นฮ่องเต้แค่ในนามเท่านั้น แต่พวกขุนนางก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ดังนั้นทุกคนจึงพูดว่าหวู่จงคือฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ ในขณะที่หลิวจวินคือฮ่องเต้ที่ยืนอยู่

ฮว๋าเซี่ยเป็นประเทศที่งดงาม มีอารยธรรมมายาวนานถึงห้าพันปี การที่ขันทีเหล่านี้สามารถฝากชื่อตนเองไว้ในประวัติศาสตร์ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้ว

แต่ก็ใช่ว่าขันทีทุกคนจะฝากชื่อไว้

เช่นเดียวกับขันทีข้างรถม้า ตอนนี้พวกเขาเป็นแค่ขันทีฐานะต่ำๆ แต่วันดีคืนดี หากพวกเขามีอำนาจขึ้นมาในอนาคต และหากพวกเขาจดจำคำพูดของฉินเฟิงไปในวันนี้ หายนะก็คงอยู่ไม่ไกลเกินรอ

ฉินเฟิงมีชีวิตอยู่มายี่สิบปี เซียวเฉวียนดูอายุน้อยกว่าเขา แต่ภายใต้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ทั่วทุกอณูของเขา ทำให้ความรู้และความลึกซึ้งในด้านนี้ขอวเซียวเฉวียนมีมากว่าฉินเฟิง

"หลบซ่อนอะไรไว้ที่ไหน? ปิดบังหญิงสาวอาจจะได้อยู่ แต่คิดว่าจะปิดบังชายเหล่านี้ได้อย่างนั้นหรือ?”

เซียวเฉวียนกล่าวไปพลางมองทางเหล่าขันที เมื่อฉินเฟิงได้ยิน ก็ตกตะลึงทันที จะมีขันทีที่กล้าหาญเช่นนั้นในโลกได้อย่างไรกัน?

เซียวเฉวียนไม่ปฏิเสธ คนเหล่านี้เป็นเพียงเศษฝุ่นในแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์ ไม่ว่าฉินเฟิงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ในที่สุดผู้คนก็จะถูกทำลายล้างในแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์นี้

เมื่อมองดูกำแพงวังอันศักดิ์สิทธิ์จากด้านนอก เขาก็ทั้งสงบและผันผวนอยู่ภายใน ราวกับว่าเขากำลังมองชะตากรรมของราชวงศ์นับพันปี

“สิบปี จะเห็นการมาถึงและการจากไปของฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ร้อยปี จะเห็นการเกิด แก่ ความเจ็บป่วย และความตาย” เขามองไปที่ฉินเฟิงอย่างสงบ

ในโลกนี้ทุกสิ่งเป็นไปได้ ในโลกแห่งอำนาจ ถือเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งในการช่วยชีวิตคน

ในสายตาของเซียวเฉวียนดูเหมือนจะมีหลายพันสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ฉินเฟิงขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ภายในหัวใจของเขามืดมนด้วยคำพูดของเซียวเฉวียน

เขาปิดปากไม่กล้าที่ตะพูดอะไรออกมาอีก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย