พู่กันจินหลุนเฉียนคุน คือสิ่งที่ปีศาจกวีนำกลับมาจากเจียงหนาน
พู่กันนี้ ทั้งเก่าคร่ำและโบราณแล้ว
อายุของมันยังจะเก่าแก่ยิ่งกว่าต้าเว่ยเสียอีก
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก มันไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากพู่กันธรรมดาเลย
มันคือพู่กันขนที่สลักลายมังกรสีแดงด้ามหนึ่ง ตัวพู่กันมีลักษณะกลม ด้ามพู่กันยาวเรียว ทั้งด้ามทาด้วยหมึกสีแดงตัวหมึกนั้นอมประกายแดงทึบเอาไว้ เผยให้เห็นแสงที่งมประกายไว้ด้วย
พู่กันนี้สลักได้วิจิตรบรรจงเป็นอย่างมาก ตัวปลอกพู่กันใช้สีแดงเป็นฐาน มีลายเมฆมงคลยืนพื้น ระหว่างแต่ละตารางนิ้วนั้นแบ่งแยกก้อนเมฆชัดเจน บางรวมกลุ่มบ้างกระจาย ทับซ้อนกันแน่นขนัด
ตรงรูปสลักลายมังกรที่ทะยานผ่านนั้น เห็นมังกรดุดันกำลังอ้ากงเล็บของมัน มุ่งหมายทะยานขึ้นบน มันสำแดงกายอย่างภาคภูมิท่ามกลางหมู่เมฆ แม้จะมีขนาดเล็กจ้อย แต่ก็เปี่ยมบารมีนัก
เพียงแต่ว่ามันถูกวางไว้นานแล้ว ไม่อาจแสดงลักษณะดั้งเดิม หมึกแดงถูกปกคลุม ส่วนลวดลายมังกรก็ถูกฝุ่นปิดทับ แสดงให้เห็นว่าเก่ามาก
การที่ปีศาจกวีไปเจียงหนานครั้งนี้ เรื่องกินผักจี้ไฉ่และฟังเพลงนั้นเป็นเรื่องเล็ก ที่สำคัญคือไปเพื่อพู่กันด้ามนี้ของเซียวเฉวียน
พู่กันด้ามนี้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เมื่อประมาณเจ็ดแปดสิบปีก่อน ปีศาจกวีเก็บได้จากภูเขาคุนหลุน เพียงแต่ว่าเขาทำหายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้า
ปีศาจกวีนั้นบัดนี้ได้เอื้อมแตะระดับกวีสมุทรคุนหลุนแล้ว แทบอยู่ในระดับไร้ร่องรอย ต่อให้เทียบไปทั้งแผ่นดินก็ยากหาคู่ปรับได้ อาวุธนี้หายไปก็หายไป เขาไม่ได้ใส่ใจ
ผลสุดท้ายเขากลับไม่คิดเลยว่า ในชาตินี้จะรับลูกศิษย์ที่มีจิตแห่งอักษรมาได้หนึ่งคนเช่นนี้
เขาพลันนึกถึงพู่กันด้ามนี้ขึ้นมา ดังนั้นแล้วหลังจากทำลายบ่อน้ำฮั่น เขาก็มุ่งหน้าไปยังเจียงหนาน จากนั้นก็ใช้พลังทั้งกายของตัวเอง กระโจนลงไปในบ่อโคลนหนึ่งเพื่อหามัน
พู่กันที่ดีเช่นนี้ ไม่รู้ว่าถูกใครขโมยไป แถมยังทิ้งเอาไว้ในบ่อโคลนด้วย
ผู้ที่ไม่มีจิตแห่งอักษร อาวุธนั้นก็จะมีประโยชน์ตามสภาพ อาทิเช่นใช้กระบี่เป็นกระบี่ ใช้ดาบเป็นดาบ
ผู้ที่มีจิตแห่งอักษร พู่กันด้ามเดียว ก็เพียงพอ
วิจารณ์ด้วยวาจาสะบัดพู่กัน อาจารย์ใช้ปาก ส่วนศิษย์นั้นใช้พู่กัน
งดงามนัก
เซียวเฉวียนยังไม่แตะขั้นของกวีสมุทรคุนหลุน แน่นอนว่าไม่อาจจะใช้วาจาอรรถาบรรยาย
เพียงแต่การสะบัดพู่กันนั้น เซียวเฉวียนกลับทำได้
ก่อนหน้านี้พู่กันนี้ยังไม่มีชชื่อ เพราะว่าปีศาจกวีไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธใด
ตอนนี้ลูกศิษย์เขาจำเป็นจะต้องใช้ ไม่อาจจะตั้งชื่อสั่วๆ ดังนั้นปีศาจกวีจึงประทานนาม
ด้วยหวังว่า เซียวเฉวียนจะไม่ทำให้ความตั้งใจนี้ของอาจารย์ต้องผิดหวัง
พู่กันนี้ครั้นออกจากเทือกเขาคุนหลุน ก็ไม่ได้ใช้มาเนิ่นนาน จำเป็นจะต้องใช้นามของผู้อารักขาเปิดเนตรพู่กัน
เบิกเนตรพู่กัน ก็คือการปลุกมันให้ตื่น
อาวุธใดๆ ที่ใช้หินแร่จากเทือกเขาคุนหลุนมาเป็นวัตถุดิบสร้างนั้น มักจะมีพลังวิญญาณและเคลื่อนไหวตามประสงค์ของนาย
พู่กันจินหลินเฉียนคุนนั้นเป็นอาวุธที่มีพลังวิญญาณ บุคคลและสิ่งของใดๆ ที่เกี่ยวพันกับเทือกเขาคุนหลุนนั้นย่อมใช้ปลุกมันให้ตื่นได้
ชื่อนั้นคือสัญลักษณ์ร่องรอยที่คนผู้หนึ่งเหลือทิ้งไว้บนโลก คนผู้หนึ่ง ครั้นเกิดมาแล้วก็มีเพียงตัวเปล่าเปลือย เติบใหญ่นั้นต้องอาศัยพึ่งพาพลังภายนอก ชื่อและนามนั้นย่อมมาจากพลังภายนอกด้วยเช่นกัน
หากเปรียบเทียบแล้วชื่อและนามนั้นก็เปรียบดังเสื้อผ้าบนร่างกาย เสื้อผ้าชิ้นหนึ่งที่สวมใส่แล้วเหมาะกับตนเอง เสื้อผ้าที่วัดและตัดตามขนาดตัว ย่อมทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกสบาย ทำให้ผู้อื่นมองมาแล้วสบายตา สิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์อันแฝงอยู่ภายในส่งต่อมาถึงภายนอกเช่นนี้ พลังเช่นนี้ไม่อาจจะบรรยายได้
เทียบไปแล้วนั้น
สำหรับพู่กันจินหลุนเฉียนคุน อักษรนามของมันก็มาจากชื่อของผู้อารักขาของเทือกเขาคุนหลุน มันสามารถรับรู้ชีวิตหนึ่งชีวิตของผู้อารักขาได้
เหมิงเอ้ากับโจโฉ หนึ่งชีวิตเกิดและดับ คนที่เพิ่งจะตายไปได้ไม่นาน แถมยังตายรวดเร็วอย่างไม่ยินยอมเช่นนั้น เซียวเฉวียนรู้สึกผิดภายในใจมากตลอด พู่กันนั้นเคลื่อนไหวตามแต่ใจของนาย และแน่นอนว่าสามารถนำมาปลุกมันได้
ที่เลือกเหมิงเอ้า ก็เพราะมาจากที่อักษรขีดในนามของเขามากกว่าไป๋ฉี่มากล้วนๆ อะไรก็ไม่สะดวกไปมากกว่านี้แล้ว
เจ้าเด็กเซียวเฉวียนที่วันๆ เอาแต่หาเรื่องไม่หยุดนี้
หากจะลอกเลียนแบบ เขาต้องลอกเลียนให้ได้มากที่สุด
การปลุกและช่วงใช้มันนั้น คืองานที่เซียวเฉวียนจะต้องศึกษาในตอนนี้
เซียวเฉวียนจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า อาวุธที่ตัวเองเฝ้าฝันอยากได้นั้น ถึงกับเป็นพู่กันหักๆ ที่เปื้อนหมึกดำๆ ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะของตัวเองนั่น
หลี่มู่กักตัวเขา แถมข้างนอกยังใส่กลอนเอาไว้
หากคิดอยากจะออกไป เซียวเฉวียนไม่เขียนนามให้เสร็จเกรงว่าจะไม่ได้
เขียนก็เขียนสิ!
หนึ่งหมื่นครั้งก็คือหนึ่งหมื่นครั้ง!
เซียวเฉวียนหยิบพู่กันนั้นขึ้นมา แม่งเอ๊ย ครั้นหยิบขึ้นมา มือก็เปื้อนหมึกแล้ว
รู้ว่ามันสกปรก แต่ก็ไม่คิดว่าจะสกปรกปานนี้!
หลี่มู่เองมากเรื่องนัก จะลงโทษเขายังไม่ยินยอมจะให้พู่กันที่ดีๆ กับเขาเลย
เซียวเฉวียนสงบใจตั้งสติ เขาเริ่มบดหมึก ยกปากกาขึ้นแล้วเขียนอักษร
โจโฉ
โจโฉ
โจโฉ
นอกห้องนั้น จันทร์กระจ่างดาราน้อยนิด เสียงนกกระจอกส่งเสียงร้อง “จิ๊บๆๆ”
นกกระจอกนั้นกระโดดไปกระโดดมาบนกิ่งไม้ เป็นค่ำคืนอันไร้เรื่องในนครหลวง ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น
เมื่อคืนวาน หลี่มู่ส่งเทียบเชิญให้สวนหรง วันนี้เขาให้เว่ยชิงมากราบปีศาจกวีเป็นอาจารย์ที่จวนผู้อารักเขา
โชคดีมาเยือนอย่างกะทันหัน
สีหน้าของขันทีหม่าดูยุ่งยาก เขาถ่ายทอดเจตนาของฮ่องเต้เสียงเบา
ไม่อาจเข้าใกล้ปีศาจกวี
และยิ่งไม่อาจจะกราบเขาเป็นอาจารย์
คำพูดนี้คล้ายน้ำเย็นหนึ่งถังที่ราดรดลงมาบนศีรษะของเว่ยชิง เขาเบนศีรษะมาแล้วเอ่ยเสียงเย็น “ทูลฝ่าบาทไม่ให้เป็นกังวลใจ ข้าจะไม่มีเรื่องใดแน่ นิสัยของปีศาจกวีเอาแน่เอานอนไม่ได้ ข้ารู้อยู่แต่แรกแล้ว”
“ในเมื่อข้ากล้ากราบเขาเป็นอาจารย์ แน่นอนว่าข้าจะต้องเตรียมใจเอาไว้แล้ว”
“ถ้าเช่นั้นขอขอบพระทัยเจตนาดีของฝ่าบาท ขันทีหม่า ขอตัวละ”
ฮ่องเต้ห้ามไม่ให้เว่ยชิงไปตาย เว่ยชิงยังทำหน้ารังเกียจเหมือนพระองค์ไปขวางความสำเร็จของเขาเสียแบบนั้น เว่ยชิงสั่งให้คนรีบพาตัวเขาไปยังจวนราชองครักษ์
“ท่านอ๋อง! ท่าน!”
ขันทีหม่ากระทืบเท้า คิดอยากห้ามแต่ไม่สำเร็จ เขาทำได้แค่เบิกตามองอีกฝ่ายจากไป
ในห้องอันมืดสลัว
เซียวเฉวียนนวดนัยน์ตา แสงไม่ค่อยดีเลย เขียนมานานขนาดนี้ ดวงตาเจ็บเสียไม่รู้จะพูดเช่นไร
หนึ่งคืนผ่านไป ชื่อของโจโฉ เขาเขียนไปเพิ่งจะได้หนึ่งพันครั้ง
นี่ยังเป็นผลจากที่เซียวเฉวียนมุมานะเขียนเอาเสียด้วย
หนึ่งพันครั้งนี้ เซียวเฉวียนยังไม่ทันได้ตั้งใจมากนัก ยิ่งนี่เป็นการลงโทษ จะให้เขาตั้งใจไปเพื่ออะไร?
“สงสารโจโฉนัก เขากลายเป็นฮีโร่ของยุคสมัยหนึ่งได้แท้ๆ”
เซียวเฉวียนที่เหนื่อยล้าเป็นที่สุดแหงนหน้าขึ้นจากเก้าอี้ ด้วยท่าทางเวทนาสุดประมาณ
ก่อนหน้าจะตาย ดวงตาทั้งคู่ของโจโฉยังสาดประกายแรงกล้า คล้ายกับว่าสามารถถ่ายทอดปณิธานอันยิ่งใหญ่ให้เซียวเฉวียนรับรู้กระนั้นละ
น่าเสียดาย
น่าเสียดาย...
เซียวเฉวียนถอนหายใจ เสียดายความจงรักภักดีของอีกฝ่าย ติดตามเจ้านายอย่างชือซือ และต้องตายในมือของชือซือ
เซียวเฉวียนหัวใจกระตุกเล็กน้อย ทันใดนั้นนิ้วของเขาก็ถูกอะไรทิ่มเข้า
“แม่เจ้า!” เซียวเฉวียนตกใจจนสะดุ้ง!
พู่กันขยับงั้นหรือ?
ตัวพู่กันขยับเองได้ด้วย!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...