ช่วงขาของอวี้อี่มั่วยาวมาก ระยะการสาวเท้าของเขาแต่ละเก้าก็กว้างมาก หร่วนซือซือจึงต้องวิ่งเหยาะๆ ตามมาตลอดทาง
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้านอาหารที่มีห้องส่วนตัว คนในร้านราวกับว่ารู้ว่าอวี้อี่มั่วเป็นใคร เพียงแค่ได้เห็นเขาเดินเข้ามาก็รีบกุลีกุจอต้อนรับเข้าไปในร้าน
หลังจากที่นั่งลงในห้องรับรองพิเศษก็มีคนเข้ามาบริการทันที ตลอดไปจนถึงการเสิร์ฟอาหารก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ได้มีการจัดเตรียมไว้หมดแล้ว มาถึงแล้วก็ได้รับประทานทันที
หร่วนซือซือตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของอวี้อี่มั่วอีกครา
ภายในห้องรับรองนั้นเงียบมาก และดูเหมือนว่าอวี้อี่มั่วจะมีงานให้ต้องจัดการ ในมือก็ถือแท็บเล็ตที่ตู้เยี่ยยื่นมาให้เมื่อสักครู่และก็จ้องอย่างไม่วางตา
ห้องรับรองใหญ่เสียขนาดนี้ อาหารที่เรียงรายวางอยู่เต็มโต๊ะก็มีเยอะเสียขนาดนี้ มีเพียงแค่พวกเธอสองคนเท่านั้นเอง หร่วนซือซือรู้สึกว่าเป็นการสิ้นเปลือง
แต่เมื่อพูดถึงสถานะทางสังคมของอวี้อี่มั่วแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ก็คงถือเป็นเรื่องปกติแหละ
หร่วนซือซือยกถ้วยชาที่อยู่ข้างๆ มือขึ้น หลังจากที่จิบไปคำเล็กๆ ถึงได้เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับอวี้อี่มั่วว่า “เรื่องเมื่อสักครู่ ขอบคุณนะ”
เสียงของเธอเบามาก เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนการทำงานของอวี้อี่มั่ว
หร่วนซือซือไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกไปต่อ แต่ที่เธอเอ่ยขอบคุณไปนั้นออกมาจากใจเธออย่างแท้จริง
ความจริงแล้วที่ประจันหน้ากับหยางเย่เมื่อสักครู่ แม้ว่าภายนอกจะแสดงออกไปว่าเก่งกาจ แต่จริงๆ แล้วภายในใจนั้นหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
นอกจากที่กลัวว่าหยางเย่กับฉินเสียนหลี่ทั้งสองคนจะร่วมมือกันรุมเธอแล้ว อันที่จริงแล้วเธอกลัวเสียยิ่งกว่าที่จะนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น
สองปีก่อน ก็เหมือนดังเช่นวันนี้ ทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันต่างพูดจาหยามเกียรติให้เธออับอาย
ผู้ชายที่เธอเคยคิดว่าจะรักเธอมากที่สุด กลับไปยืนอยู่ข้างกายของหญิงอื่น ด่าทอเธอเสียหายไปต่างนานา
ทั้งที่วันเวลาที่เคยใช้ร่วมกับเธอ ก็ไม่ได้เป็นทุกขเวทนาเท่าไหร่นัก
เธอเคยนึกคิดถึงความรักอันสวยงาม ก็ได้ถูกฉินเสียนหลี่และหยางเย่ทำลายลงเช่นนี้
หร่วนซือซือที่อยู่ในห้วงความทรงจำอันแสนเจ็บปวดและทรมาน ไม่ได้สังเกตเห็นว่าอวี้อี่มั่วกำลังหันมามองเธอ
หลังจากที่จ้องมองค้างเป็นเวลาไม่กี่วินาทีสั้นๆ คิ้วของอวี้อี่มั่วก็ผูกเป็นปมเล็กๆ แล้วเอ่ยเรียก “หร่วนซือซือ”
เสียงอันเย็นแปลบทะลุเข้าไปในโสตประสาทการได้ยินของหร่วนซือซือ ร่างกายเธอก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมาเอง รีบเงยหน้าขึ้นไปปะทะเข้ากับสายตาอันเคร่งขรึมของอวี้อี่มั่ว
หร่วนซือซือก็พลันรู้สึกตัวว่าตนได้สูญเสียการควบคุมไป มือก็พลางเช็ดคราบน้ำตา ปากก็พลางเอ่ยพูดออกมาว่า “ขอโทษ ฉัน........” ไม่ได้ตั้งใจ
“จำเอาไว้ซะว่าเธอคือภรรยาของฉันคนนี้อวี้อี่มั่ว ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดขอโทษไม่ว่ากับใครก็ตาม”
หร่วนซือซือยังไม่ทันได้พูดให้จบประโยค อวี้อี่มั่วก็พูดแทรกตัดบทเธอขึ้นมาเสียก่อน “และไม่จำเป็นที่จะต้องไปกริ่งเกรงใคร”
อวี้อี่มั่วทำสีหน้าขรึม ในน้ำเสียงมีทั้งความอบอุ่นและผสมปนกับความกรุ่นโกรธเจือมาอยู่ด้วยเล็กน้อย
เผชิญหน้ากับอวี้อี่มั่วที่เป็นเช่นนี้ หร่วนซือซือรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมานิดหน่อย ทำได้เพียงเม้มปากแล้วพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
ตู้เยี่ยตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าเขาที่เธอเอ่ยถึงหมายถึงใคร ผ่านไปครึ่งวินาทีที่ยาวนานถึงพึ่งจะกระจ่างจึงพูดออกมาว่า “คุณหญิง ท่านประธานจะไปโกรธคุณหญิงได้อย่างไรกันล่ะครับ ถ้าจะโกรธก็ต้องโกรธผมนี่แหละ”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”
“คุณหญิง อย่าคิดว่าท่านประธานจะสมบูรณ์แบบไปเสียทุกเรื่อง แต่เขาต้องก็ปกป้องคุณหญิงอย่างแน่นอน และเมื่อสักครู่เขาก็ส่งคนไปกว้านซื้อบริษัทหยางกรุ๊ปแล้ว”
ได้ฟังตู้เยี่ยพูดดังว่า หร่วนซือซือก็นึกถึงคำที่อวี้อี่มั่วพูดกับหยางเย่
เดิมทีก็คิดว่าเขาแค่พูดไปอย่างนั้น ไม่คาดคิดเลยว่าจะทำตามนั้นจริงๆ
จู่ๆ อารมณ์ของหร่วนซือซือก็ดีขึ้นมามาก
ตู้เยี่ยยังคงเอ่ยต่อว่า “คุณหญิง ที่ท่านประธานโกรธเพราะกลัวว่าคุณหญิงจะตกเป็นเบี้ยล่างผู้อื่น และเขาก็เป็นคนที่ชอบให้ท้ายคนอื่นมากเป็นอย่างยิ่งครับ”
“จริงเหรอ” ได้ยินคำอธิบายอย่างนี้หร่วนซือซือก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
แต่ภายในใจรู้สึกดีขึ้นมากแล้วอย่างชัดเจน
ไม่คาดคิดว่าอวี้อี่มั่วจะเป็นคนที่ดูเย็นชาแค่ภายนอกเท่านั้น
เห็นว่าหร่วนซือซือยิ้มออกมาแล้ว ทว่าในใจของตู้เยี่ยกลับตื่นตระหนก ดูเหมือนว่าเขาจะพูดเกินจำเป็นไปเสียแล้ว ยังไม่รู้ว่าหลังจากที่ท่านประธานได้ทราบเรื่องแล้ว จะถลกหนังเขาออกมาไหม
แต่ก็เพื่อให้ครอบครัวของท่านประธานสงบสุขเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การที่จะถูกถลกผิวหนังออกไปก็ยังถือว่าคุ้มค่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดั่งรักบันดาล