ความเจ็บปวดที่จินตนาการเอาไว้ไม่ได้หล่นอยู่ที่บนใบหน้า ข้างหูกลับมีเสียงทุ้มต่ำมีพลังก้องมา “ทำไม ฉาดนึงยังไม่พออีกเหรอ ”
ทันใดนั้นญาธิดาได้ลืมตาขึ้น ร่างเงาที่สูงใหญ่เข้ามาสู่สายตา ภวินท์ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ แขนกำยำบีบข้อมือของผู้หญิงคนนั้นไว้
สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นตะลึงงัน เห็นได้ชัดว่าดูออกคือภวินท์ เธอหยุดชะงักอยู่ครู่นึงแล้วดึงมือออกมาจากเขาด้วยความโกรธ พร้อมพูดอย่างใจร้าย “คุณภวินท์ ถึงวันนี้คุณอยู่ เรื่องที่ฉันควรจัดการก็จะจัดการอยู่ดีค่ะ ”
ภวินท์ไม่เห็นด้วย ได้ย้อนถามด้วยเสียงเย็นชา “คุณศศิ คุณโวยวายในเวลาทำงานแบบนี้ มันเหมาะสมจริงเหรอ ”
สีหน้าของคุณหญิงศศิเย็นชาลง เธอเชอะด้วยเสียงเย็นชาและยังอยากโต้ตอบ แต่ภวินท์ได้เดินมาข้างหน้าก้าวนึง ย้อนถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คุณศศิไม่ไปถามคุณมาร์ตินก่อนเหรอครับ ”
แค่คำพูดเดียวทำเอาคุณศศิพูดไม่ออกทันที เธอมองบนทีนึง แล้วมองไปที่ญาธิดาด้วยสายตาเย็นชา “รูปถ่ายก็มีแล้ว ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเหรอคะ ”
แววตาของภวินท์มีความเย็นชาโผล่ขึ้นมา “แต่ถ้าทุกอย่างเป็นแค่การเข้าใจผิดจริงๆล่ะ ฉาดที่ตบเมื่อกี๊ คุณเตรียมจะรับผิดชอบยังไง ”
“ฉัน……”
หน้าของคุณหญิงศศิซีดขึ้นมาทันที
เห็นเธอพูดไม่ออก ภวินท์พูดด้วยเสียงเย็นชาต่อ “เรื่องนี้ผมจะตรวจสอบเอง ถ้าเป็นเรื่องจริง ผมจะให้คำตอบที่น่าพึงพอใจกับคุณศศิแน่นอน แต่ถ้าเป็นการเข้าใจผิดจริงๆ ถึงเวลาคุณศศิก็ต้องเตรียมใจไว้นะด้วย คุณจะต้องให้คำตอบกับเธอ”
พูดต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ไม่ได้กล่าวโทษเลยสักนิด ภวินท์ถือว่าไว้หน้าคุณศศิมากพอแล้ว เธอรู้ถ้าโวยวายต่อจะยิ่งจบยาก ต่อมาได้กลอกตาอย่างเคียดแค้น และยอมเห็นด้วย “ในเมื่อคุณภวินท์ก็ออกคำสั่งแล้ว ฉันก็พูดอะไรเยอะไม่ได้อีก”
“แต่ว่า”เธอชายตามองญาธิดาแวบนึง สีหน้าแววตาเปลี่ยน เสียงเย็นชาขึ้นหลายส่วน “ถ้าความจริงเป็นอย่างที่พูดจริง ก็อย่าหาว่าฉันไม่ออมมือนะคะ ”
เธอทิ้งท้ายด้วยคำนี้ จากนั้นได้เชอะทีนึงแล้วหันหลังเดินผ่านผู้คนไป
ญาธิดายืนอยู่ที่ด้านหลังของภวินท์ แก้มปวดแสบปวดร้อน ในใจเหมือนมีก้อนหินใหญ่ทับเอาไว้ก้อนนึง หายใจไม่ออก
สายตาของภวินท์กวาดมองผู้คนที่ยืนอยู่กับที่แวบนึง ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง แต่สายตาเย็นเฉียบได้แฝงด้วยความน่ายำเกรงที่มองไม่เห็น
คนรอบข้างเห็นแล้วเข้าใจทันที ต่างก็มองหน้ากันแล้วรีบแยกย้ายกันโดยเร็วเลย
มองดูผู้คนแยกย้ายกัน ญาธิดากัดริมฝีปากหันหลังไปอย่างเงียบๆ แล้วเดินไปยังทิศทางที่กลับกัน
ตอนนี้คุณศศิอาละวาดแบบนี้ คนของแต่ละแผนกล้วนรู้หมดแล้ว ลือกันทั่วบริษัทเป็นแค่เรื่องช้าเร็วเท่านั้น ครั้งนี้ถึงเธอแก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว
ความเสียใจโผล่ขึ้นมาจากหัวใจ ญาธิดาหลุบตาลง น้ำตาไหลลงมา แก้มก็ปวดแสบปวดร้อนตามด้วย
ทุกที่เต็มไปด้วยเพื่อนร่วมงานของบริษัท ญาธิดาสูดหายใจลึกๆ รู้สึกแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว เห็นทางหนีไฟที่อยู่ข้างๆ เธอเดินเข้าไปอย่างไวโดยไม่คิด ได้เดินขึ้นไปบนดาดฟ้าโดยตรง
“ญาธิดา ”
ด้านหลังมีเสียงของภวินท์ก้องมา ญาธิดาตัวสั่น ไม่รู้เพราะอะไรไม่เพียงไม่หยุด กลับกันยังเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น
เมื่อวานภวินท์เป็นคนส่งเธอกลับบ้าน งั้นเขาสามารถเป็นพยานให้กับเธอว่าเธอบริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อครู่เขาไม่เอ่ยถึงเรื่องของเมื่อคืนเลย คือกลัวคนอื่นเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขาผิดเหรอ
ความขมขื่นโผล่ขึ้นมาจากในใจ ญาธิดาเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น อยากจะหนีไปอย่างไว
จู่ๆ ข้อมือถูกจับไว้แน่น เธอถูกคนดึงมือไว้ ตรงมุมเลี้ยวของบันได เรี่ยวแรงนึงได้ผลักเธอไปมุมกำแพงโดยตรง
ลมหายใจของผู้ชายเตะจมูกมา ห่อหุ้มเธอไว้โดยตรง แก้มของเธอถูกภวินท์ใช้มือสองข้างยกขึ้น ระยะห่างของทั้งสองได้ดึงเข้ามาใกล้กัน ทั้งคู่สบตากัน และใกล้ชิดกันมาก
เสียงแหบแห้งของเขาแฝงด้วยความโกรธเล็กน้อย “คุณวิ่งหนีอะไร ”
ถึงวิ่งหนี ก็แก้ไขปัญหาใดๆไม่ได้
ญาธิดาคัดจมูกพร้อมกับน้ำตาคลอ เธอกัดฟันเอาไว้แน่น บังคับตัวเองไม่ให้น้ำตาไหลลงมา
มองดูร่างเงาที่จากไปของญาธิดา ภวินท์ขมวดคิ้ว ก้มมองถุงผ้าสีแดงที่อยู่ในมือแล้ว ยิ่งคิ้วผูกโบว์เข้าไปใหญ่
พอกลับมาที่แผนก ญาธิดาก็รู้สึกว่าสายตาที่ทุกคนมองเธอผิดปกติ ชมพู่ลุกมาจากโต๊ะทำงาน แล้วเดินมาหาเธอ กดเสียงต่ำพูดว่า “ธิดา พี่แนนบอกว่าถ้าเธอกลับมาแล้ว ให้ไปพบแกหน่อย”
ญาธิดาสูดหายใจลึกๆทีนึง ปรับอารมณ์ให้เรียบร้อย แล้วพยักหน้าให้กับเธอ จากนั้นได้เดินไปที่ห้องทำงานของพี่แนน
ผลักประตูออก พี่แนนได้ยินเสียงแล้วเงยหน้าขึ้น เห็นคนที่มาคือเธอ ได้ถอนหายใจเบาๆแล้วพูดว่า “สองวันนี้เธอกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อน เบื้องบนแจ้งมาแล้วว่าอนุญาตให้เธอหยุด”
ญาธิดาพยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรมาก “ขอบคุณค่ะ พี่แนน”
ออกมาจากออฟฟิศ เธอกลับไปเก็บของที่อห้องทำงานของตนเอง จากนั้นได้ไปจากออฟฟิศภายใต้การจ้องมองของทุกคน
ญาธิดาเดินไปพร้อมกับใบหน้าที่บวมขึ้นมาข้างนึง ไม่ว่าเดินไปไหน ล้วนทำให้คนที่อยู่รอบๆเกิดความสนใจ สุดท้ายเธอก็เลยใส่แมสปิดปากบังให้มิดชิดซะเลย
ระหว่างทางกลับบ้าน จู่ๆเธอได้เกิดความลังเล ถ้าเธอกลับบ้านด้วยหน้าบวมแดงแบบนี้ คุณปภาวีกับดร.ยติภัทรจะต้องบ่นไม่หยุดแน่นอน กลัวก็แต่ถึงเวลาเธอจะไม่สามารถอธิบาย
สูดหายใจลึกๆทีนึง ญาธิดาไปซื้อยาทาแผลและก้านสำลีในร้านยาตรงข้างถนน แล้วซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในห้างสรรพสินค้า จากนั้นไปเปิดห้องที่โรงแรมฝันหวานโดยตรง
หาข้ออ้างรับมือคุณปภาวีแล้ว ทีนี้ญาธิดาถึงมีเวลาว่างมาต้มน้ำร้อนและต้มมาม่ามากิน
สามนาทีผ่านไป เธอหยิบส้อมที่ใช้ครั้งเดียวขึ้นมาคนบะหมี่ กินไปสองคำ พอแก้มขยับ ความเจ็บปวดก็คืบคลานเข้ามาหาอีก
เธอเงยหน้า เห็นตัวเองที่อยู่ในกระจกของฝั่งตรงข้ามพอดี แก้มบวมแดง มือสองข้างยกถ้วยบะหมี่ไว้ ทั้งน่าสงสารและน่าอนาถ
ญาธิดาคัดจมูก น้ำตาไหลพรากลงมา
ทำไมตอนนี้เธอถึงได้น่าเวทนาขนาดนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...