ดวงใจภวินท์ นิยาย บท 154

อัญมณีเข้าใจความหมายทันที แม้ว่าหัวใจจะไม่ยินยอม แต่ยังปิดปากเงียบอย่างเชื่อฟัง

ทว่าแองจี้ได้ยิน สีหน้ากลับเปลี่ยนไปจนย่ำแย่หนักกว่าเดิม เธอกัดฟันพูด “อัญมณีแกอย่าหยิ่งจองหองเกินให้มาก! ยังมีนังญาธิดาอีกคน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันจะไม่จบสวยๆ กันแบบนี้แน่!”

เธอพูด พร้อมทั้งมองมาทางบอดี้การ์ดคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง และออกคำสั่งเสียงเย็นเฉียบ “โจ โทรศัพท์ไปเรียกคนมา!”

วันนี้เธออยากจะดูสิว่า ญาธิดากับอัญมณีนังผู้หญิงสองคนนี้จะมีความสามารถมากเพียงใด!

เมื่อได้ยินแองจี้เรียกคนมาเพิ่ม ญาธิดาหวั่นใจทันที เดิมทีก็เป็นเรื่องเล็กๆ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้จะดึงภวินท์กับพายุลากเข้ามาเกี่ยวพันด้วย ส่วน แองจี้ก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ ขืนเรื่องเป็นเช่นนี้ต่อไป โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมลดละ เกรงว่าเรื่องมันจะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่โตหนักกว่าเดิม

ญาธิดาคาดเดาความคิดของภวินท์ไม่ออก เธอหวั่นใจอยู่บ้าง พลางยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ และคอยดึงชายเสื้อของชายหนุ่ม

ภวินท์หลุบตาลง จึงมองเห็นความวิตกกังวลที่ฉายอยู่ในแววตาของหญิงสาว พลันพูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโดยไร้ความหวั่นไหว “ไม่เป็นไร”

มีเขาอยู่ทั้งคน ไม่มีวันจะปล่อยให้เธอต้องเกิดเรื่องแน่

ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมองดวงตาอันดำดิ่งที่ไม่เห็นแววตาของชายหนุ่มคู่นั้น จู่ๆ หัวใจญาธิดาสงบลงเยอะ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พลันหันหลังและยื่นมือออกไป และจับมืออัญมณีที่อยู่ด้านข้างไว้อย่างแผ่วเบา

จังหวะนี้เอง ภวินท์ก้าวเดินไปทางด้านหน้า พลางจ้องมองแองจี้ที่หยิ่งจองหอง จนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หากคุณแองจี้อยากจะต่อ ผมยินยอมอยู่ต่อเพื่อเล่นเป็นเพื่อน”

ถ้าเธอเรียกบอดี้การ์ดมาเพิ่มอีกสี่ห้าคน เกรงว่าพวกเขามาเพิ่มอีกยังไงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขากับพายุสองคน

แองจี้เหลือบตามองเขา และไม่ยอมตอบสักนิด แต่กลับมองบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้าง และพูดเร่งรัดอย่างหมดความอดทน “รีบโทรเข้าสิ! ให้พวกเขามาที่นี่ทั้งหมด!”

บอดี้การ์ดที่ชื่อโจกำโทรศัพท์ไว้ และเริ่มลังเลอยู่บ้าง “คุณหนู ต้องโทรจริงๆ เหรอ?”

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แน่ชัดถึงฐานะของภวินท์ ทว่าแค่มองท่าทางเช่นนี้ ก็รู้ทันทีว่าภูมิหลังของเขาไม่ธรรมดาเลย หากปล่อยให้คุณหนูทำตามใจนิสัยของคุณหนูของตนเองจนทำให้เรื่องบานปลายเป็นเรื่องใหญ่โต เกรงว่าจะไร้วิธีในการอธิบายให้คุณสวิชฟัง

แค่คืนนี้มันเกิดเรื่องบัดซบขึ้นมามากขนาดนี้ แองจี้กำลังโมโหจนหัวร้อน และแทบไร้สติสัมปชัญญะ พลางก้าวมาทางด้านหน้าอย่างโกรธเคือง และแย่งโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของโจมา “แกไม่โทรฉันโทรเอง!”

จู่ๆ เวลานี้เอง กลับมีเสียงชายหนุ่มดังขึ้นมาทางด้านข้าง “รอเดี๋ยว!”

เสียงนี้ดังขึ้น สายตาของทุกคนต่างมองไปตามเสียงทันที ญาธิดาเองก็ไม่ยกเว้น พลางมองไปตามต้นเสียง จังหวะที่เห็นคนอย่างชัดเจน จนเกิดความประหลาดใจเล็กน้อยอยู่ในใจ

เป็นเขานั่นเอง

พลางมองผู้ชายที่ยิ้มจางๆ ที่นั่งอยู่บนรถเข็น ญาธิดาดึงสายตากลับ และมองภวินท์ที่อยู่ด้านข้างตามสัญชาตญาณทันที

ซึ่งเป็นไปตามคาด สีหน้าของเขาหม่นหมองลงเยอะจากการมองด้วยตาเปล่า พลางใช้สายตาเฉียบคมจ้องมองคน น้องชายของเขา---ภูผา

เมื่อเห็นว่าภูผานั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีนายครามเป็นคนเข็นรถเข็นเข้ามา ใบหน้าเขาแสดงรอยยิ้มจางๆ โดยไม่มีพิษมีภัยทำตัวสนิทสนม สายตาจ้องมองมาที่แองจี้

แองจี้ราวกับแปลกใจอยู่บ้าง สีหน้าท่าทางเริ่มเก็บอาการเล็กน้อย “พี่ภูผา ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

“มางานตามคำเชิญของเพื่อนคนหนึ่ง เลยขึ้นไปคุยงานกันอยู่ชั้นบน ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอพวกคุณที่นี่เข้า”

เขาพูด พร้อมทั้งมองมาทางญาธิดากับภวินท์ โดยยิ้มให้เล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทายเขา “พี่ใหญ่”

แววตาภวินท์ฉายอาการหมดความอดทนออกมา พลางถลึงตาใส่ภูผาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้กล่าวทักทายตอบกลับ

ราวกับภูผาไม่ได้สนใจอากัปกิริยาตอบสนองของเขาสักเท่าไหร่ แต่เขายิ้มให้ญาธิดา จากนั้นก็หันมาทางแองจี้

แองจี้ได้ยินภูผาเรียกภวินท์เช่นนั้น พลันเบิกตาโตด้วยอาการตกใจทันที พลางเอ่ยปากพูด “เขา...คือภวินท์?”

ภูผาพยักหน้าให้เล็กน้อย พลางกระซิบพูดเกลี้ยกล่อม “แองจี้ นี่พี่ใหญ่ฉันเอง คนข้างๆ คือเพื่อนฉัน วันนี้ถือว่าไว้หน้าตาฉันหน่อยแล้วกัน เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว เธอคิดว่าดีมั้ย?”

เขายิ้มอย่างเป็นมิตรบริสุทธิ์จากใจ พูดจามีหลักการ การชั่งน้ำหนักทุกอย่างต่างบีบได้อย่างพอดี ทำให้คนเกิดอาการกระดากปากจนไร้วิธีปฏิเสธ

เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ เมื่อแองจี้ได้ยินตามนั้น จึงกวาดตามองพวกญาธิดา เมื่อลังเลอยู่สักพัก ถึงได้ยอมตอบตกลง “ก็ได้ ถึงขั้นพี่ภูผาออกปากมาเอง งั้นฉันก็ไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บต่อ!”

การินคลี่ยิ้มมุมปาก รอยยิ้มมุมปากปะปนด้วยความขื่นขมเล็กน้อย “ธิดา ขอโทษนะ ที่ผมไม่ได้ปกป้องคุณให้ดี”

เขายังแสดงความจริงใจกับญาธิดาอยู่เสมอ ทว่าเมื่อครู่เขาเห็นภวินท์ปรากฏตัวเพื่อปกป้องเธอ ถึงได้รับรู้ความแตกต่างของตนเองกับคนอื่นเป็นอย่างดี

ญาธิดายิ้มให้เขา พลางพูดปลอบโยน “นายทำได้ดีมากแล้วค่ะ ขอบคุณนะ”

เวลานี้ อัญมณีให้เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่ยังไม่ได้กลับไปที่อยู่ในกลุ่มคนนั้น ให้เขาพาการินไปโรงพยาบาล

เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว การินก็ไม่ได้ปฏิเสธ พลางเหลือบมองญาธิดาตาละห้อย ก่อนที่จะยัดนามบัตรของตนเองให้เธอ ถึงยอมจากไป

หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ญาธิดาถึงถอนหายใจโล่งอก เมื่อหันตัวกลับมา ก็สบตากับดวงตาอันคมกริบของชายหนุ่มคู่นั้นพอดี สีหน้าของเขาแสดงอาการไม่ยินดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด จังหวะที่เห็นเธอหันกลับมา จึงเบนสายตาหลบเลี่ยงอย่างไร้วี่แวว

ญาธิดาแอบแปลกใจ ใครไปยั่วโมโหอะไรให้เขาอีกล่ะ?

ตอนที่พวกเขาเตรียมจะออกไปนั้น ภูผาเคลื่อนรถเข็นเขยิบเข้ามา และเรียกรั้งเอาไว้

“ธิดาครับ”

ญาธิดาหันศีรษะกลับไป พลางมองชายหนุ่มที่กำลังยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น และคลี่ยิ้มให้ตามมารยาท

ไม่ได้เจอหน้าเขามาสักระยะแล้ว การเจอหน้ากันในครั้งนี้ เธอรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของเขานั้นดีขึ้นเยอะจนเห็นได้อย่างชัดเจน

ภูผายังอยากพูดอะไรกับเธอ แต่จังหวะที่เห็นภวินท์เดินเข้ามานั้น คำพูดติดตรงริมฝีปาก จนต้องกลืนลงคอกลับไป และหันไปมองเขาและกล่าวพูด “พี่ใหญ่....”

ดวงตาภวินท์ฉายแววตาเย็นชาออกมา กรามอันตรึงเกร็งเล็กน้อย ริมฝีปากบางเม้มจนขีดเป็นเส้น น้ำเสียงพูดกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “อย่าเรียกฉันว่าพี่ใหญ่”

คำตอบที่พูดตรงๆ ห้วนๆ ของเขาอย่างไม่ไว้หน้าคล้ายเป็นการทิ่มแทงภูผาจนบาดเจ็บ จนใบหน้าเขาปรากฏความเศร้าโศกออกมาบ้าง “พี่ยังไม่ยอมยกโทษให้ผมใช่มั้ย?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์