ภวินท์หยิบแท็บเล็ตที่วางอยู่บนโซฟาขึ้นมา เลื่อนดูแล้วมีแต่เอกสารภาษาต่างประเทศเต็มไปหมด เขาหยุดชะงักไปสองวิ จากนั้นได้หันไปมองผลไม้หั่นเสร็จที่วางอยู่บนโต๊ะถ้วยนั้น
จากนั้นได้ยักคิ้วและถามว่า “นี่ก็คือความจริงใจของคุณ?”
ญาธิดาสูดหายใจลึกๆ แล้วพูดเสียงเบา “ถ้าคุณชอบ ช่วงนี้ฉันจะเอามาให้คุณทุกวันเลยค่ะ”
เธอรู้อยู่แล้วเชียวว่าภวินท์ไม่ให้เธอง่ายๆหรอก ตั้งแต่คราวก่อนที่เธอด่าเขาผู้ชายสารเลว เขาก็คอยเปลี่ยนวิธีทำให้เธอลำบากใจอยู่เรื่อยเลย
ภวินท์ฟังแล้วแววตามีอารมณ์แวบผ่านเสี้ยวนึง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ให้ผมชิมดูหน่อยซิ”
ญาธิดาอึ้งอยู่เสี้ยววินาที แล้วได้ตอบโอเคทันที จากนั้นได้ยกผลไม้มาที่ตรงหน้าเขา
เพื่อให้เขาสะดวกในการทาน เธอยังตั้งใจเตรียมส้อมผลไม้เอาไว้โดยเฉพาะ
แต่ใครจะไปรู้พอเอามาที่ตรงหน้าเขา ผู้ชายกลับไม่มีทีท่าว่าจะยื่นมือเลย มือซ้ายเขาถือแท็บเล็ตไว้ มือขวาคอยสไลด์หน้าจอเบาๆ จากนั้นได้เงยหน้ามองไปที่เธอ ยักคิ้วแล้วพูดว่า “มือผมไม่ว่าง”
ญาธิดาตะลึงงัน ก็แค่เรื่องยื่นมือ ไม่นึกเลยว่าเขาจะพูดได้จริงจัง เหมือนเรื่องจริงอย่างงั้นแหละ!
งั้นเขาหมายความว่ายังไง?ให้เธอป้อนเขางั้นหรอ?
ญาธิดาแอบโกรธอยู่ในใจ แต่ก็แสดงออกมาไม่ได้ หลังจากแข็งข้อกับเขาไปหลายวิ เธอฝืนฉีกรอยยิ้มออกมา “ได้ค่ะ งั้นฉันป้อนคุณ”
ระหว่างพูด เธอได้หยิบส้อมขึ้นมา ท่าทางใช้แรง ได้จิ้มสับปะรดจากทางนี้ทะลุไปทางโน้น จากนั้นก็แสร้งป้อนผลไม้ไปที่ปากของเขาอย่างมีความอดทน
ภวินท์อ้าปากกัดเอาไว้ แล้วยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ แววตามีรอยยิ้มเสี้ยวนึงแวบผ่านอย่างไว
ป้อนเขาติดต่อกันหลายคำ ในที่สุดภวินท์ก็ได้พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ผมจะให้พายุเอาช่องทางการติดต่อให้คุณ”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ญาธิดาดีใจใหญ่เลย ไม่นึกเลยว่าความอดทนที่เดิมทีไม่หลงเหลือเลยสักนิดได้ฟื้นฟูกลับมาเยอะ
เธอดูถ้วยเล็กในมือและได้ถามด้วยความอดทน “ยังจะทานอีกมั้ยคะ?”
น้ำเสียงของภวินท์อ่อนโยนลง เขาพูดอย่างเรียบเฉย “วางลงเถอะ”
ญาธิดาวางถ้วยเล็กลง อารมณ์ดีขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับเมื่อครู่ นึกถึงคำถามที่ค้างคาใจในวันนี้ เธออดถามเรื่อยเปื่อยคำนึงไม่ได้ “ใช่แล้ว ช่วงเช้าตอนที่ไปเยี่ยมชมบริษัท ที ดี คุณก็ไม่อยู่ คุณมาสิงคโปร์ครั้งนี้คือมาทำอะไรเหรอ ?”
จู่ๆถูกถามคำนึง สีหน้าของภวินท์เย็นชาขึ้นเยอะ เขาพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “เรื่องที่ไม่ควรถามคุณก็อย่าถามเยอะ”
มองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปกะทันหันของผู้ชาย ญาธิดารู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นราดใส่หนึ่งกะละมังยังไงอย่างงั้น ตื่นตัวขึ้นมาทันที
ดูท่าเธอล้ำเส้นเกินไปแล้ว ได้ถามเรื่องที่ไม่ควรถาม
รอยยิ้มตรงมุมปากแข็งทื่อไว้ ญาธิดาทำอะไรไม่ถูกในชั่วขณะ หลังจากหยุดชะงักไปหลายวิ ได้ตอบเสียงเบาว่า “ฉัน…ฉันรู้แล้วค่ะ ไม่มีธุระแล้ว งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
พอพูดจบ เธอได้หันหลังอย่างค่อนข้างผิดหวัง พร้อมออกจากห้องอย่างล้มลุกคลุกคลาน
เดิมทีเธอก็แค่ถามเรื่อยเปื่อยเฉยๆ คิดไม่ถึงว่าภวินท์จะไม่ชอบใจขนาดนี้
ญาธิดากลับมาที่ห้องตัวเองด้วยจิตใจที่ค่อนข้างห่อเหี่ยวอย่างไร้สาเหตุ
ถึงแม้เรื่องขอช่องทางการติดต่อของคุณหมอเธียรชัยจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อครู่ท่าทีที่ภวินท์มีต่อเธอเปลี่ยนไปกะทันหัน เหมือนก้อนหินใหญ่ก้อนนึงทับอยู่บนอกเธอ ทำให้เธออดคิดไม่ได้ อดแปลกใจไม่ได้
เธอรู้สึกเรื่อยเลยว่าภวินท์มาสิงคโปร์ครั้งนี้คือมีเรื่องอย่างอื่นต้องทำ แถมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ไม่นานเวลาพักผ่อนก็ผ่านไปโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน ญาธิดาก็นอนไม่หลับ ลุกจากเตียงด้วยสายตาที่เหนื่อยล้า จากนั้นได้จัดเก็บครู่นึงก็ออกจากห้องไปเลย
ช่วงบ่ายของวันนี้ มีพี่เบลล์คอยนำทีมพวกเขามาที่บริษัท ที ดี ไปทดสอบขั้นตอนการทำงานด้วยตนเองที่แต่ละแผนก และยังประชุมเล็กๆอย่างเรียบง่าย นี่ถึงนับว่าจบสิ้นงานของวันแรก
หลังออกมาจากบริษัท พี่เบลล์นัดรวมตัวกัน และกล่าวรายการต่อจากนี้ “คืนนี้ก็ไม่ทานข้าวด้วยกันแล้ว เอาเวลาให้พวกเธอวางแผนเอง กินข้าวก็ดี ช้อปปิ้งก็ดี แล้วแต่พวกเธอเลย แต่จะต้องรับประกันความปลอดภัยของตัวเอง มีเรื่องอะไรโทรหาพี่ ดีที่สุดกลับโรงแรมก่อนสี่ทุ่ม เข้าใจมั้ย?”
เธอพูดแบบนี้ปุ๊บ ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นและทยอยกันรับปาก
ก้อยก็ยังไม่ไว้วางใจอยู่ดี ภายใต้ความลังเลเธอได้ถามว่า “งั้น……หรือไม่ฉันไปส่งเธอดีกว่า?”
ญาธิดาอบอุ่นหัวใจ เธอปฏิเสธทางอ้อมด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องแล้ว ก้อย เธอไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก โรงแรมก็ไม่ได้ไกลจากนี่เลย ฉันนั่งรถเล็กคันนึงกลับไปก็พอแล้ว”
ข้างถนนของสิงคโปร์มีรถสามล้อที่สีสันสวยงามอยู่มากมาย เธอนั่งเรื่อยเปื่อยคันนึง สิบกว่านาทีก็ถึงโรงแรมแล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนก้อยส่งเธอกลับโดยเฉพาะหรอก
ฟังเธอพูดแบบนี้ ก้อยได้แต่พยักหน้า “ก็ได้ งั้นเธอระวังตัวหน่อยนะ ถึงโรงแรมแล้วส่งข้อความให้ฉันนะ”
ญาธิดาโบกมือให้เธอด้วยรอยยิ้ม “โอเค ฉันรู้แล้ว”
ทางฝั่งโตโบกรถแท็กซี่ได้สองคันพอดี หลังจากก้อยกวักมือให้เธอ ก็ได้ไปขึ้นรถโดยตรง
มองดูแท็กซี่จากไป ญาธิดาโล่งอกไปที ทนความเจ็บปวดที่ท้องน้อยส่งผ่านมา เธอค่อยๆเดินไปหารถสามล้อที่จอดอยู่ข้างถนน
เธอยังเดินไม่ถึงหน้ารถสามล้อ จู่ๆก็มีผู้ชายคนนึงวิ่งมาจากด้านหลังเธอ ผู้ชายคนนั้นทั้งผอมทั้งตัวเล็ก ตัวสูงพอๆกับญาธิดา ตาตี่เท่าเม็ดถั่วเขียวกลอกตาไปมา
“คุณครับ จะไปไหนครับ?จะนั่งรถมั้ยครับ?”
ญาธิดามองเขาแวบนึง รู้สึกค่อนข้างแปลกใจ
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนไทย
แถมเขาอ้าปากก็พูดภาษาไทยกับเธอเลย?ที่นี่เอเชียก็มีไม่น้อย เขารู้ได้ยังไงว่าเธอเป็นคนไทย?แถมเขายังรู้ด้วยว่าเธอต้องการนั่งรถ?
รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที ญาธิดาส่ายหัวแล้วเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น พร้อมทั้งปฏิเสธโดยตรง “ไม่ต้องการค่ะ”
เพิ่งพูดจบ จู่ๆมีของอะไรคลุมมาที่ศีรษะของเธอจากด้านหลัง ได้บดบังสายตาของเธอเอาไว้ วินาทีต่อมา หลังศีรษะสะเทือน ถูกของอะไรสักอย่างโจมตีมาอย่างแรง
ญาธิดาหน้ามืด และได้หมดสติไปทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...