จากบ้านพักของตระกูลสถิรานนท์กลับถึงโรงพยาบาล ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า
หลังจากที่ญาธิดาพาดร.ยติภัทรมาถึงโรงพยาบาลแล้ว จึงเรียกหมอมาทำการตรวจเช็ดเขาทันที เมื่อได้ยินว่าอาการของเขายังคงปกติ เธอก็สบายใจและโล่งอก
เห็นดร.ยติภัทรได้หลับสนิทอยู่บนเตียงแล้ว คุณปภาวีก็โบกไม้โบกมือให้ญาธิดา ส่งสัญญาณให้เธอออกไปข้างนอก
หลังจากออกไปข้างนอกแล้ว คุณปภาวีปิดประตูห้อง จูงมือเธอเดินไปข้างๆ แล้วกระซิบเสียงเบา “ ธิดา เรื่องวันนี้พวกเราตำหนิหนูผิดไป ช่วงนี้พ่อของหนูเขาอยู่ในโรงพยาบาล อารมณ์ไม่ดีจึงเป็นแบบนี้……”
ญาธิดายิ้มให้เธอ แล้วกล่าวเสียงเบา “แม่ แม่ไม่ต้องพูดแล้ว หนูเข้าใจดี”
เธอรู้ และก็เข้าใจด้วยว่าดร.ยติภัทรมีความกดดันในจิตใจ ย่อมต้องรู้สึกประหม่าและโกรธง่ายอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เธอไม่จำเป็นจะต้องมีเหตุผลแล้วไม่ยอมคน
“หนูเข้าใจก็ดีแล้ว ให้แม่ดูหน้าของหนูหน่อย ฝ่ามือของพ่อหนูเมื่อวานนี้ ……ไม่เบาเลย”
พูดพลาง คุณปภาวีก็ยื่นมือออกไป เชยคางของญาธิดาขึ้น ดูซ้ายดูขวา
แม้ในวันธรรมดาคุณปภาวีจะขี้บ่นและเรื่องมากกับญาธิดา แต่ลึกๆ ในใจของเธอก็ยังรักและเอ็นดูลูกสาวคนนี้อยู่ เห็นรอยฝ่ามือบนใบหน้าของเธอได้จางหายจนเกือบจะมองไม่เห็นแล้ว เธอจึงรู้สึกโล่งอก
ญาธิดามองดูท่าทางของแม่แบบนี้ รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา รีบยื่นมือไปจับข้อมือเธอไว้ แล้วกล่าวเสียงเบา “แม่ หนูหาวิธีติดต่อคุณหมอเธียรชัยได้แล้ว อีกสักครู่หนูจะติดต่อไปหาเขา คุยเรื่องแนวทางการผ่าตัด”
เมื่อปภาวีได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าดีใจรีบพยักหน้า “มีวิธีติดต่อก็พอแล้ว แม่ได้ยินหมอพูดว่า การผ่าตัดของพ่อหนู ยิ่งเร็วยิ่งดี เปอร์เซ็นต์สำเร็จจะสูงหน่อย”
เมื่อญาธิดาได้ยินเช่นนั้น พยักหน้าอย่างรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย และคุยกับเธอหลายประโยคแล้วจึงหยิบมือถือขึ้นมาเดินไปข้างๆ แล้วโทรหาคุณหมอเธียรชัย
เมื่อโทรติดแล้ว ญาธิดากล่าวทักทายอย่างมีมารยาท และคุยจุดประสงค์ของการโทรหากับคุณหมอเธียรชัย
ทางปลายสายน้ำเสียงของคุณหมอเธียรชัยอ่อนโยนและสงบ คุยแผนการผ่าตัดและเวลาผ่าตัดกับเธออย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อคุยสองส่วนนี้จบแล้ว สุดท้ายก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องคุยถึงปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย
น้ำเสียงที่ไม่เร่งไม่รีบของคุณหมอเธียรชัยดังมาจากปลายสาย “สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ผมคิดว่าควรจะต้องแจ้งให้คุณทราบก่อน เพื่อให้คุณได้เตรียมใจไว้”
“ได้ค่ะ เชิญท่านพูดมาเลยค่ะ”
“การผ่าตัดครั้งนี้หากผมเป็นคนผ่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมกัน จะต้องใช้ประมาณเจ็ดล้านห้าแสนบาท เพื่อลดความเสี่ยง พวกเราจะต้องนำเข้ายาที่ดีที่สุด ผลข้างเคียงน้อยผลแต่ได้ผลดีเยี่ยม เพราะฉะนั้นราคาย่อมต้องสูงกว่านิดหน่อยอยู่แล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น มือญาธิดาที่กำมือถือไว้เกร็งเล็กน้อย อึ้งไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ ได้สติคืนมา “เจ็ดล้านห้าแสนบาทหรือ?”
“ใช่ อาจจะมีค่ายาที่ต้องกินต่อเนื่องและค่าตรวจเช็ดร่างกายในภายหลังบ้างเล็กน้อย”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนลมหายใจ จากนั้นถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ค่ะ คุณหมอเธียรชัย ฉันเข้าใจแล้ว รอให้พวกเราระดมเงินได้ครบแล้ว พวกเราหวังว่าจะได้ผ่าตัดโดยเร็วที่สุด”
คุณหมอเธียรชัยกล่าวเสียงเบา “ถ้าหากต้องการจะทำการผ่าตัดโดยเร็ว ก็ต้องพยายามล่วงหน้าหน่อย เพราะว่าเดือนหน้าผมยังมีงานอื่น หากเลื่อนไปอีกอาจจะไม่ได้คิวผ่าตัด ”
“ได้ค่ะ ฉันจะพยายามค่ะ”
เมื่อวางสาย ญาธิดายืนอยู่กับที่เหม่อลอยเล็กน้อย
เธอเองก็ไม่เคยคิดว่า การผ่าตัดครั้งนี้จะใช้เงินมากมายเพียงนี้
หลายปีมานี้ ดร.ยติภัทรสอนอยู่ในมหาวิทยาลัย ส่วนคุณปภาวรในวันธรรมดาจะช่วยเหลือในเรื่องงานสังคมบ้าง ไม่ได้มีรายได้อะไร อาศัยเพียงรายรับของพ่อ แม้ว่าครอบครัวจะไม่ถือว่าร่ำรวย แต่โดยรวมแล้วก็ไม่เลว แต่ว่าเจ็ดล้านห้าแสนไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เกรงว่าตอนนี้ในบ้านจะไม่มีเงินมากมายเพียงนี้........
เธอไม่จะทำอย่างไรจริงๆ คุณปภาวีถือขวดน้ำเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย เห็นญาธิดายืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม จึงรีบเดินเข้าไปถามทันที “เกิดอะไรขึ้น?คุณหมอเธียรชัยพูดว่าอย่างไร?”
ญาธิดาได้สติคืนมา มองไปทางคุณปภาวี แล้วกล่าวเสียงเบา “การผ่าตัดไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดค่อนข้างสูง……แม่ ตอนนี้บ้านเรามีเงินสดเท่าไหร่?”
คุณปภาวีเคร่งขรึมเล็กน้อย กล่าวเสียงเบาว่า “เงินในบ้านล้วนฝากอยู่ในสมุดบัญชี ประมาณสองล้านห้าแสนบาท เงินจำนวนนี้ยังไม่พอสำหรับค่าผ่าตัดหรือ?”
“ญาธิดา พี่แนนให้คุณไปหาเขาที่สำนักงานของเขา”
เห็นรอยยิ้มที่หายากของพิชญ์สินีที่มีต่อเธอแล้ว ญาธิดากลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เธอตอบกลับว่าขอบคุณ แล้วก้าวเท้าเดินไปทางสำนักงานของหัวหน้า
เมื่อผลักประตูเข้าไป เธอเห็นพี่แนนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ยกคางใส่เธอ ส่งสัญญาณว่าให้เธอนั่ง “นั่งสิ”
ญาธิดานั่งลง แล้วถามว่า “พี่แนน มีเรื่องอะไรหรือ?”
พี่แนนวางงานในมือลง เงยหน้ามองไปทางเธอด้วยสายตาจริงจัง “ช่วงบ่ายวันศุกร์ที่แล้ว คุณเลิกงานก่อนเวลาหรือ?”
หัวใจญาธิดากระตุก หยุดไปครู่หนึ่ง ตอบตามความจริงว่า “ค่ะ ที่บ้านฉัน……”
“เพี้ยง!”
พี่แนนตบไปที่โต๊ะ ตัดบทเธอทันที แล้วกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ไม่ต้องหาข้ออ้างใดๆ ทำผิดก็คือทำผิด!”
จู่ๆ เห็นสีหน้าพี่แนนเปลี่ยนไป ญาธิดาตัวสั่น รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
เรื่องนี้ เธอผิดจริงๆ วันนั้นทันทีที่ได้รับโทรศัพท์จากคุณปภาวี เธอก็ไปอย่างเร่งรีบโดยไม่สนใจที่จะบอกเธอสักคำ
“อย่าคิดว่าเมื่อมีคุณงามความดีหน่อยก็เริ่มจะปีกกล้าขาแข็ง บริษัทไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ว่าอยากมาก็มา อยากไปก็ไป ยังมีกฎระเบียบอยู่บ้างไหม?”
พี่แนนจริงจังกับงานมาก ปกติทุกคนหัวเราะและล้อเล่นเฮฮาก็ไม่เป็นไร แต่พิถีพิถันกับเรื่องงานมาก ยิ่งเกลียดพนักงานที่ทำผิดเรื่องพื้นฐานที่สุด
และในครั้งนี้ ญาธิดาเจอปากกระบอกปืนแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...