ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นด้วยท่าทางคุณชายที่มีท่วงท่าสง่างาม พร้อมทั้งมีรอยยิ้มและจิตใจเมตตาอย่างอ่อนโยน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนที่มองเขานั้น ญาธิดารู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เธอยกมุมปากขึ้น พร้อมทั้งยิ้มให้เขา และพูดเสียงแผ่วเบา “คุณภูผา ไม่ได้เจอกันมานานแล้วนะคะ”
เมื่อได้ยินการเรียกขานเช่นนี้ หัวคิ้วของภูผาขยับเล็กน้อย แต่ความรู้สึกที่แสดงออกทางสีหน้าก็ไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
เขายิ้มให้ พร้อมทั้งเปลี่ยนน้ำเสียงในการเรียกขาน และกล่าวพูดอย่างชื่นชม “ไม่ได้เจอกันตั้งห้าปี วันนี้คุณญาธิดาสวยขึ้นเป็นกองจนโดดเด่นสะกดสายตาไปทั่วจริงๆ เลยครับ”
“คุณก็ชมเกินเหตุไปค่ะ แต่ว่าคุณภูผา ดูเหมือนอาการดีขึ้นมากนะคะ”
ระยะเวลาผ่านมาห้าปีแล้ว ทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน เขาไม่ได้ซีดเซียวอ่อนแอตามความทรงจำของญาธิดาที่มีต่อภูผาเหมือนเมื่อก่อน เขาในเวลานี้ ถึงแม้ว่าจะนั่งอยู่บนรถเข็นก็ตาม แต่ผิวพรรณก็ตากแดดจนเป็นผิวสีแทน จนผลัดความรู้สึกอ่อนแอนั้นออกไปมาก จนมีความเป็นผู้ชายมากขึ้น
ทั้งสองคนต่างชื่นชมกันไปมาอยู่นาน ญาธิดาหลุบตามองเวลาที่ปรากฏอยู่บนโทรศัพท์ และมองมาทางภูผา พร้อมทั้งกระซิบแผ่วเบา “คุณชายรอง ฉันยังมีธุระต่อทางนั้น เกรงว่าต้องขอตัวก่อนแล้วค่ะ”
ภูผายิ้มให้พลางพูดทันที “เชิญตามสะดวกครับ”
หลังจากที่ทั้งสองคนพยักหน้าเพื่อสื่อความหมายให้เป็นที่เรียบร้อย ภูผาก็หมุนรถเข็นเพื่อผละออกทันที
สายตาของญาธิดาเหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจ จึงมองเห็นขาที่อยู่ใต้ผ้าคลุมนั้นเริ่มขยับเล็กน้อย จู่ๆ ก็ยืนตะลึงจนแน่นิ่งไป
ขาทั้งสองข้างของภูผาไม่มีความรู้สึกไม่ใช่เหรอ? แล้วเมื่อกี้ขยับได้ยังไงกัน?
ญาธิดาแหงนหน้ามอง เพื่อมองซ้ำอีกครั้ง แต่กลับมองเห็นแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เคลื่อนรถเข็นออกไป ซึ่งไม่มีความผิดปกใดๆ เกิดขึ้น
ญาธิดาขมวดคิ้ว และเกิดความสงสัยอยู่ในใจอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อครู่เธอมองเห็นเต็มสองตาว่าขาของภูผาขยับจริงๆ ไม่ใช่ตาฝาดแน่!
หรือว่า...
“ธิดา!”
จู่ทางด้านหลังก็มีเสียงเรียก ญาธิดาได้สติกลับคืนมา จึงเบนศีรษะชะเง้อมอง จึงเห็นธีทัตกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้
ธีทัตยื่นมือออกมา เพื่อโอบหัวไหล่ของเธอตามธรรมชาติ “ไปคุยกับคุณย่าแล้วเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ดีมากเลยค่ะ เราไปทางนั้นกันเถอะค่ะ”
ญาธิดาดึงธีทัตให้เดินมาทางมุมห้องทางด้านข้างที่มีคนน้อยหน่อย และหันกลับไปมองยังตำแหน่งตรงกลางของงาน ที่มีคนพลุกพล่าน ย่อมเป็นคุณย่าตระกูลสถิรานนท์กำลังถูกล้อมรอบอยู่ตรงกลางจนเห็นชัดถนัดตา
การมีลูกอย่างปกรณ์และหลานชายอย่างภวินท์คอยยืนปักหลักให้ คนที่เพิ่งมีชื่อเสียงแม้เพียงเล็กน้อยในเมืองJต่างก็อยากมาเข้าร่วมงาน
ที่นี่ ดูผิวเผินแล้วก็คืองานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดอายุครบเจ็ดสิบปีของคุณย่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มศักยภาพในการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ในแวดวงสังคมชั้นสูงของเมืองJ
ภวินท์กับนิวราที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน เพื่อคอยต้อนรับขับสู้กับคนที่เข้ามาเสวนาด้วย ราวกับเป็นแบบฉบับคู่สามีภรรยาทั่วไป
ญาธิดาเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว พลันเกิดความรู้สึกไม่ถูกโฉลกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เธอหน้านิ่วคิ้วขมวด และเบนสายตาหนีทันที
ธีทัตที่อยู่ทางด้านข้างมีความอ่อนไหวจนสามารถจับความเปลี่ยนแปลงของเธอได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งกระซิบพูด “ธิดา จากนี้ต่อไปคุณวางแผนจะทำอะไรต่อ?”
เขารู้ดีที่สุดแล้ว การที่ญาธิดามานั้น ไม่ใช่เพื่อมาอวยพรคุณย่าอย่างธรรมดาแน่ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เธออยากจะมาคุยกับนิวรา
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ฉันคิดไว้แล้ว ครั้งนี้คุณก็อย่าเข้ามาแทรกแซง ฉันขอจัดการเองได้มั้ยคะ?”
เธอพูด พร้อมทั้งยื่นมือออกไป เพื่อนำมือวางอยู่หลังฝ่ามือของธีทัตอย่างแผ่วเบา
นัยน์ตาอันแน่วแน่ของหญิงสาวบวกกับความอบอุ่นในฝ่ามือของเธอซึ่งทำให้ธีทัตวางใจลงเยอะ เขาชะงักเล็กน้อย และพลิกฝ่ามือเพื่อกุมมือของเธอไว้ “ได้ครับ งั้นก็ตามที่คุณพูดเลยครับ”
ญาธิดาพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมทั้งยิ้มให้เขาเป็นการปลอบใจ
เรื่องเดินมาถึงตรงนี้แล้ว ระหว่างเธอกับนิวรา ก็ไม่มีความลับเรื่องส่วนตัวหรือความไว้หน้าที่ไม่สามารถพูดออกมาได้แล้ว ควรจะพูดกันอย่างเปิดเผยซึ่งๆ หน้าไปเลย
เวลาล่วงเลย ผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า กลุ่มคนที่เข้ามาอวยพรถึงได้ค่อยๆ ลดลงเรื่อย
ทุกคนต่างจับกลุ่มพูดคุยกัน พูดคุยสัพเพเหระและดื่มกันอย่างสนุกสนาน นอกจากการตกแต่งเพื่อเฉลิมฉลองแล้ว ตรงบริเวณจุดอื่นก็เหมือนกับงานเลี้ยงสังสรรค์ตามแบบฉบับทั่วไป
จู่ๆ ญาธิดาก็รู้สึกผิดหวังแทนคุณย่าอยู่บ้าง
ญาธิดาเดินวนอยู่ในห้องโถงใหญ่หนึ่งรอบ แต่เธอก็ไม่เห็นแม้เงาของนิวรา
เธอเดินขึ้นบันได อย่างไม่ได้ตั้งใจ จนเดินมาถึงชั้นสอง พอหันหลังก็มองเห็นตัวคนเด่นชัดอยู่ตรงทางเดินตรงระเบียงเล็กของชั้นสอง
กระโปรงสีแดงสด สะดุดตาขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่นิวราจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ?
ญาธิดาก้าวฝีเดินมุ่งหน้าไปทางด้านหน้า ถึงได้ค้นพบว่าข้างกายของเธอยังมีผู้หญิงอยู่อีกสองคน ทั้งสามคนพูดคุยหยอกล้อต่อกระซิก โดยไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่
เธอก้าวเท้าเดินไปทางด้านหน้า ตอนที่เพิ่งเดินถึงบันไดระเบียงนั้น เหมือนนิวราหันกลับมาแบบฟูลเทิร์นหนึ่งรอบ จังหวะที่มองเห็นญาธิดานั้น สีหน้าของเธอก็หม่นหมองลง แววตาฉายความอิจฉาริษยาออกมาเล็กน้อย
ผู้หญิงสองคนที่อยู่ด้านข้างของเธอก็มองตามสายตาของเธอ พอเห็นว่าเป็นญาธิดา สีหน้าต่างเปลี่ยนเป็นมีความหมายอื่นอยู่ลึกๆ ขึ้นมาทันที
ญาธิดามองเห็นปฏิกิริยาของทั้งสามคนเต็มสองตา พลางก้าวเดินเข้าไปหา อย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นก็มองมาที่นิวราพร้อมทั้งกระซิบพูด “คุณนิวคะ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณค่ะ ไม่ทราบว่าคุณพอมีเวลามั้ยคะ”
พอนิวราได้ยิน พลันแสยะยิ้มออกมาทันที และหันไปมองผู้หญิงสองคนที่อยู่ด้านข้าง และเอ่ยขึ้น “พวกแกไปที่ห้องโถงใหญ่ก่อนเถอะ”
“นิว แกคนเดียวไหวมั้ย?”
ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ทางด้านข้างเหล่มองญาธิดาอย่างระแวดระวัง
นิวราย่นคิ้วหากัน พร้อมทั้งพูดจาเสียงแข็ง “พวกแกไปก่อนเถอะ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ผู้หญิงทั้งสองคนต่างสบตากัน โดยที่ไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมาอีก และเดินออกไปทันควัน
เวลานั้น ตรงระเบียงเล็กก็เหลือแค่พวกเธอสองคนเท่านั้น
นิวราค่อยๆ เชิดปลายคางเล็กน้อย สีหน้าทั้งเย็นชาและเคร่งขรึม ซึ่งแสดงท่าทางไม่ได้เห็นหัวญาธิดาเลย “แกอยากจะพูดอะไร?”
เมื่อครู่ตอนที่ญาธิดาพูดคุยกับคุณย่าในห้องโถงใหญ่นั้นเธอก็เห็นเต็มสองตา เธอคิดไม่ออกจริงๆ ทั้งๆ ที่มันผ่านไปห้าปีแล้ว ทำไมยายแก่หงำเหงือกนั่นถึงได้ไม่ลืมเลือนญาธิดาสักที! ซึ่งเมื่อย้อนกลับมาคิดดู หลายปีมานี้ยายแก่ปฏิบัติต่อเธอ ทั้งที่ไม่เคยแสดงความสนิทสนมแบบนี้มาก่อนเลย!
นิวรายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ตอนแหงนหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็มองญาธิดาด้วยสายตาที่ไม่มีการปกปิดความขยะแขยงที่เพิ่มขึ้นมากไว้สักนิด
ญาธิดาเห็นสภาพนั้น แต่ไม่กลับร้อนรนแต่อย่างใด พลันเผยอริมฝีปากอันงดงามขึ้น “คุณนิว คุณรู้สึกไม่ถูกชะตากับฉันแน่ๆ ใช่มั้ย?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...