ความรู้สึกหวาดกลัวครั้งมโหฬารมันตีพุ่งขึ้นมาที่หัวใจ จนทำให้ร่างกายญาธิดาสั่นจนหมดหนทางควบคุม
เธอรู้ เวลานี้ ผลพิสูจน์DNAยังไม่ออกมา แต่ใช้เวลาไม่นาน ความจริงก็จะถูกเปิดเผย ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนั้น เธอจำเป็นต้องคิดหาวิธีหยุดเขาถึงจะถูก
ช่างบังเอิญจริงๆ เวลานี้ จู่ๆ ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็หันศีรษะกลับมา พลันมองมาทางนี้ วินาทีที่สองคนสบตากันนั้น ต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน
หัวใจญาธิดาบีบรัดแน่น วินาทีนี้เธอหมดหนทางถอยหนีอีกแล้ว และยืนแข็งทื่ออยู่กับที่
ภวินท์ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อชะงักไปชั่วครู่ จู่ๆ ก็ก้าวฝีเท้าเดินตรงดิ่งมาหาเธอทันที
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ร่างกายต่างตกอยู่ในสภาวะตื่นเต้นไปทั่วทุกอณู
เสียงของชายหนุ่มสุขุมนุ่มลึกและเย็นชา “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
ญาธิดากัดฟัน และรู้ดีว่าถ้าเธอยอมถอยความจริงก็จะถูกเปิดเผย เธอจึงปลุกความกล้าหาญออกมา พลันเอ่ยปากย้อนถามทันที “คำพูดนี้ควรจะเป็นฉันที่ต้องถามคุณมากกว่ามั้งคะ?”
ภวินท์เลิกคิ้ว นัยน์ตาเย็นยะเยือก แต่ไม่ได้ตอบคำถามกลับ
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามเก็บงำความตึงเครียดที่อยู่ในใจอย่างหนักหน่วง “ฉันได้ข่าวว่าคุณไปเยี่ยมเอลล่ามา ภวินท์ คุณวางแผนอะไรอยู่ ใช่มั้ย?”
โดยที่ไม่รอคำตอบของเธอ ญาธิดาหันหน้ากลับ พลางกวาดตามองป้ายทางแผนกนิติเวชแวบหนึ่ง พร้อมทั้งพูดเสียงเย็นชาใส่ พลันพูดต่อทันที “ตอนแรกฉันก็อยากจะกลับอยู่แล้ว ต่อมาได้ยินพยาบาลพูดว่าคุณมาที่แผนกนิติเวช ฉันรู้สึกสงสัย เลยตามมา ไม่คิดเลย ท่านประธานของSTN จะมาทำเรื่องที่น่ารังเกียจแบบนี้”
ภวินท์หัวเราะแห้งๆ การโดนเธอกล่าวหาความผิดแต่ไม่ยอมรับแถมยังตอกกลับพลางไม่รู้สึกตื่นตระหนกใดๆ พร้อมทั้งพูดเน้นย้ำทุกคำ “ผมแค่อยากรู้ความจริงเท่านั้นเอง คุณไม่บอกผม ผมก็แค่มาตรวจสอบเอาเองก็เท่านั้น”
พลางมองเห็นท่วงท่าของชายหนุ่มที่สงบนิ่งไร้การตื่นตระหนกสักนิด ความรู้สึกรำคาญพุ่งขึ้นหัวญาธิดา เธอกัดฟันแน่น พลันใช้สายตาโกรธเคืองจ้องมองคนทางด้านหน้าตาเขม็งอย่างไร้การถดถอย “ภวินท์ คุณมันไร้ยางอาย!”
“ผมไร้ยางอายเหรอ?” ภวินท์โน้มตัวลงเล็กน้อย เพื่อเขยิบเข้าใกล้เธอเล็กน้อย “ถ้าความจริงเปิดเผยออกมา ว่าสุดท้ายแล้วคุณโกหกผม คนที่ไร้ยางอายยังจะเป็นผมอยู่มั้ย?”
ญาธิดาโกรธจนพูดสวนไม่ทัน “คุณ...”
ซึ่งในวันนี้ ภวินท์คลับคล้ายคลับคลามั่นใจกับความจริงแล้ว เขากำลังรอคอยอยู่ ซึ่งเป็นรายงานฉบับหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างน่าเชื่อถือว่าอีธานกับเอลล่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาก็เท่านั้นเอง
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดของญาธิดา!
ภวินท์เหมือนมองเห็นความคิดที่อยู่ในใจของหญิงสาวอย่างหมดเปลือก เขาหรี่ตา น้ำเสียงเรียบเฉยถึงขั้นสุด “ญาธิดา คุณกำลังกลัวอะไรอยู่เหรอ?”
ประโยคเดียว มันจี้ใจดำของญาธิดาตรงจุด
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มือที่อยู่ข้างตัวพลันกำแน่นเป็นหมัดอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็ฝืนยิ้มให้อย่างไม่แยแส “ฉันไม่กลัว กลัวว่าถึงเวลานั้นคุณจะอับอายขายขี้หน้ามาก!”
“งั้นก็ดี” ภวินท์ก้มหน้ากวาดตามองนาฬิกาข้อมือแวบหนึ่ง “ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง เรารอผลออกพร้อมกันเถอะครับ”
ญาธิดาหมดคำพูด
เธอชัดเจนที่สุด เวลานี้เธอหมดหนทางหนีอีกแล้ว
เธอไม่สามารถหนีออกไป และไม่มีความสามารถจะหยุดยั้ง ซึ่งในเวลานี้ทำได้แต่นับถอยหลังทุกเสี้ยววินาทีครึ่งชั่วโมงสุดท้ายที่ค่อยๆ ถอยหลังไป
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้อันเย็นเฉียบ มือทั้งสองข้างประสานกันไว้แน่น และพยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้ตนเองมีอาการสั่นเทา
ทุกช่วงเวลาแบบนี้ ราวกับเป็นนักโทษประหารที่กำลังเดินไปสู่หนทางประหารชีวิต ซึ่งอยู่ในเวลาช่วงสุดท้ายในการเอาชีวิตรอด
หลังจากนั้นห้านาที ญาธิดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พลันฝากความหวังอันเพียงเล็กน้อยไว้ที่ตัวธีทัตทันที
เวลานี้เอง เธอไม่สามารถวิงวอนร้องขออะไรได้ และไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว สามารถทดลองหาวิธีอะไรสักอย่าง เธอก็ต้องลอง ถึงแม้ว่าจะพยายามเป็นครั้งสุดท้ายในการให้รอดพ้น ยังดีเสียกว่าการนั่งรอความตายอยู่ตรงนี้
เธอใช้คำพูดที่กระชับและเร่งด่วนเรียบเรียงเป็นข้อความสั้นๆ ส่งให้ธีทัต พร้อมทั้งส่งหาอยู่หลายครั้ง แถมยังใช้ลักษณะท่าทางที่ไม่แสดงออกเป็นที่แน่ชัดว่ากำลังโทรศัพท์หาธีทัต
แต่กลับไม่มีคนรับสาย และไม่มีคนตอบข้อความกลับมา
เธอรู้ดี ธีทัตคงยุ่งมาก อีกอย่างตอนนี้เขาก็อยู่ต่างจังหวัด ถึงแม้ว่าจะเห็นข้อความ เขาก็รีบกลับมาไม่ทันการณ์แน่
แต่เธอไม่ยินยอมที่จะปล่อยโอกาสแม้เพียงเศษเสี้ยวไปจริงๆ
20 นาที...
15 นาที...
5 นาที...
ซึ่งเวลานี้ ภวินท์ได้เห็นรายงานการตรวจพิสูจน์แล้ว จะเชื่อหรือเปล่า?
การรอดพ้นจากภัยวิกฤตแต่กลับไม่ได้นำพาความสุขมาให้เธออย่างแรงกล้า แต่กลับเป็นความรู้สึกเสี่ยงอันตรายที่ไม่รู้จักขึ้นมาแทน ความหวาดกลัวตีพุ่งขึ้นมาในหัวใจ จนทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
เธอรีบออกจากโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ตอนที่กลับไปที่แกรนด์ บูเลอวาร์ดนั้น ก็ค่ำมืดแล้ว
ปภาวีกับดร.ยติภัทรก็อยู่เพื่อฉลองที่เอลล่าได้ออกจากโรงพยาบาล มีเสียงครื้นเครงอยู่ในห้องรับแขก ส่วนญาธิดาแทบไม่มีอารมณ์สักนิด พลันเดินเข้าห้องนอนทันที
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา จึงมองเห็นว่าธีทัตกระหน่ำโทรศัพท์มาหา เธอจึงกดโทรกลับทันควัน
ไม่นานนัก ทางนั้นก็กดรับสาย จนได้ยินเสียงร้อนใจของธีทัตดังขึ้นมา “ธิดา! เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ญาธิดาตกตะลึง และฉุกคิดถึงที่มีคนเล่นตุกติกเรื่องรายงานการตรวจพิสูจน์ฉบับนั้น จนความสงสัยที่ไม่เข้าใจที่อยู่ในใจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม “ไม่ใช่คุณเหรอ?”
“อะไรเหรอ?”
หลังจากสงสัยอยู่สักพัก ญาธิดาถึงได้เข้าใจ ที่แท้ธีทัตไม่ได้ส่งคนมาแจ้งกับทางโรงพยาบาล
งั้นตกลงว่าใครกัน?
หรือว่ายังมีคนซ่อนตัวในที่มืดและคอยแอบช่วยเธออยู่ลับๆ งั้นเหรอ?
ซึ่งในเวลาเดียวกัน ณ โรงพยาบาลพัฒนา
บุคคลหนึ่งที่ใส่ชุดพยาบาล หญิงสาวสัดส่วนพอเหมาะเดินตัดสวนดอกไม้เล็กของโรงพยาบาล พลางเดินผ่านประตูทางด้านหลัง และขึ้นรถยนต์สีดำคันหนึ่ง
เมื่อเธอขึ้นรถ จึงคว้าหมวกที่อยู่บนศีรษะลงมาอย่างทนรอไม่ไหว จนเส้นผมดำขลับสยายไปทั่ว เธอหยิบยางมัดผมขึ้น และเตรียมรวบมัดตึงเป็นทรงหางม้าสูง
จู่ๆ ทางด้านข้างมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมา แล้วคว้าข้อมือเธอเอาไว้ “อย่าขยับนะ ผมชอบคุณในลุคนี้”
เกล้าแก้วอึ้งชั่วขณะ พลันเหลือบมองภูผาที่อยู่ด้านข้าง เมื่อตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ พลันลดมือลง
ภูผาเห็นภาพนั้นแล้ว มุมปากคลี่ยิ้มมากขึ้น และเอ่ยปากสอบถามอย่างไม่รีบไม่ร้อน “จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...