ญาธิดาเกิดความรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ ในหัวสมองนั้นกำลังหวนคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจริงๆจังๆ และมั่นใจว่าตนเองไม่ได้กินมะม่วงหรืออาหารที่มีมะม่วงเป็นส่วนผสมอยู่เลย
เธอเอียงคอ “ตกลงว่ามันมีตรงไหนที่ผิดสังเกตล่ะ?”
เธอทั้งคิด และใช้อีกมือข้างหนึ่งเกาแขนอีกข้างอย่างไม่รู้ตัว
ภวินท์เห็นท่าทางของเธอทำเช่นนั้นแล้ว พลางย่นคิ้วหากัน และยื่นมือออกไป โดยจัดการคว้ามือเธอเอาไว้ทันที “อย่าเกาสิ”
คนที่เป็นภูมิแพ้ไม่ควรเกาบริเวณผิวหนัง การทำเช่นนี้ไม่เพียงอาการไม่ทุเลาลง แถมยังทำให้อาการคันหนักขึ้นกว่าเดิมอีก
ญาธิดาได้สติกลับมา จึงมองที่มือของตัวเองที่ถูกชายหนุ่มกุมไว้ในมือ จนหน้าแดงทันที “อ้อ”
ภวินท์พูดกำชับด้วยท่าทางจริงจัง “เรื่องที่คุณแพ้อาหารได้ยังไง ผมจะไปตรวจสอบให้เอง ภารกิจของคุณในเวลานี้คือการนอนพักผ่อนซะ”
ญาธิดาพยักหน้าเล็กน้อย พลางเงยหน้าแหงนมองชายหนุ่ม พลางสอบถามอย่างระมัดระวัง “คุณเพิ่งกลับมาถึงประเทศหรือคะ?”
ภวินท์ตอบตามปกติ “อืม”
เธอถามอย่างสงสัย “เรื่องข่าวลือในบริษัท... จะส่งผลกระทบกับคุณมั้ยค่ะ?”
เรื่องที่เธอเป็นห่วงที่สุดก็คือเรื่องนี้ ถ้าวันนี้ภวินท์กลับมาแล้ว แต่ข่าวลือในบริษัทยังไม่จางหายไปทั้งหมด เธอเกรงว่าคงส่งผลกระทบไม่ดีกับเขาแน่นอน
เมื่อเห็นว่าผู้หญิงของตัวเองมานอนอยู่บนเตียงด้วยอาการแพ้อาหาร แถมยังคอยเป็นห่วงสถานการณ์ของเขาทุกชั่วขณะจิต หัวใจของภวินท์อ่อนระทวยลงไปเยอะ “ไม่หรอก”
ญาธิดาปล่อยวางไม่ได้จริงๆ แถมยังอยากจะถามอยู่หลายประโยค ยังไม่ทันออกปากเอ่ยถาม ภวินท์ชิงจังหวะพูดก่อน “ผมจะให้พายุเขาเป็นคนลางานให้คุณนะ คุณพักผ่อนให้ดี รอหายดีแล้วค่อยว่ากัน”
ญาธิดาได้แต่ตอบตกลง “ค่ะ”
ภวินท์ปล่อยมือเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลงเล็กน้อย “งั้นผมขอกลับบริษัทก่อนนะ คืนนี้ค่อยกลับมาดูคุณอีกครั้ง”
เมื่อเห็นว่าเขาจะกลับออกไป ก้นบึ้งหัวใจญาธิดากลับรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก ทำได้แค่พยักหน้าเท่านั้นเอง
ภวินท์หันหลังกลับ และสาวเท้าเดินออกไป แต่กลับรู้สึกว่าชายเสื้อมันตึงๆ เพราะมีคนจับรั้งเอาไว้อย่างกะทันหัน
พอเขาหันกลับมานั้น ก็เห็นญาธิดากำลังดึงเสื้อผ้าของเขาเอาไว้ สีหน้าลังเล ทำท่าอยากจะพูดแต่ไม่ยอมพูดออกมา
“มีอะไรเหรอ?”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางรวบรวมความกล้าในการสบตาดวงตาอันดำขลับดั่งหมึกของชายหนึ่ง พลางพูดจาอย่างแผ่วเบา “คืนนี้...จะกลับมากินข้าวที่บ้านไหมคะ?”
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ภวินท์ไม่อยู่ เธออยู่คนเดียวก็มักจะรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป แม้ว่าจะมีป้าจันทร์อยู่เป็นเพื่อนในบ้านอยู่ตลอดเวลาก็ตาม ทว่าเธอกลับรู้สึกว่าเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย
ภวินท์มองคำขอร้องของหญิงสาวอย่างระแวดระวัง คำปฏิเสธนั้นพูดไม่ออก เขาชะงักเล็กน้อย และตอบรับอย่างน้ำเสียงปกติ “ได้สิ”
เมื่อเห็นว่าเขาตอบตกลงแล้ว ญาธิดาถึงยอมค่อยๆ ปล่อยมือออก
ภวินท์ก้าวเท้าเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย และปิดประตูให้ด้วย
พายุที่อยู่ตรงประตูเดินนำหน้าขึ้นมา “คุณภวินท์ครับ ต้องการให้จัดคนมาคอยดูแลคุณนายมั้ยครับ?”
“ตอนนี้ยังไม่ต้อง ให้เธอได้พักผ่อนดีๆ ก่อน เดี๋ยวอีกสักพักใหญ่ผมจะมารับเธอเอง”
เขาพูดออกมาและ สาวเท้าเดินมุ่งหน้าไปทันที ราวกับฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จู่ ๆ นัยน์ตาเย็นยะเยือกขึ้นกว่าเดิม “เมื่อครู่ให้คุณไปตรวจสอบได้เรื่องมาหรือยัง?”
พายุพยักหน้า “ตรวจสอบได้แล้วครับ เลขาของคุณครับ นีราภาที่ประจำในฝ่ายกองงานสำนักงานประธานบริษัทเป็นคนทำครับ”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ภวินท์ย่นคิ้วเข้าหากัน จากนั้นก็พูดทันที “ไป กลับบริษัทกัน”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ญาธิดาก็เป็นภรรยาของเขา ถ้าคนอื่นอยากรังแกเธอ ยังต้องข้ามผ่านด่านของเขาไปก่อนสิ แต่นึกไม่ถึงเลยว่า คนที่ลงมือกับญาธิดาจะกลายเป็นเลขาที่เป็นลูกน้องของเขาโดยตรง
ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลกลับมาถึงบริษัทนั้น ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ภวินท์กลับมายังห้องทำงาน พลางมองพายุที่ไปเอาบันทึกจากกล้องวงจรปิดที่ปรับมาแล้ว สีหน้ายิ่งเย็นยะเยือกมากกว่าเดิม
หลังจากที่มองเห็นฉากที่นีราภาเอาน้ำมะม่วงใส่ลงไปในแก้วของญาธิดาวนไปวนมาซ้ำ 5 รอบแล้วนั้น เขาก็ยกแก้วขึ้นมา และดื่มกาแฟอึกหนึ่ง พร้อมทั้งกำชับพายุด้วยเสียงแข็งกร้าว “ไปเตรียมของมาหนึ่งอย่าง...”
ภวินท์พูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “งั้นก็ดี ครั้งนี้ผมตั้งให้พายุเอาของมาฝากให้คุณด้วย”
นีราภาทั้งตกใจและตื่นเต้น “ของขวัญหรือคะ?”
หลังจากที่เธอทำงานอยู่ภายใต้อาณัติของเขามานั้น แม้ว่าชื่อจะบอกว่าเป็นเลขานุการของเขา ทว่าการพูดคุยของทั้งสองคนต่างเป็นเรื่องงานทั้งสิ้น แต่ครั้งนี้ภวินท์กลายเป็นคนเอาอกเอาใจแสดงความห่วงใยต่อเธอขึ้นมาอย่างกะทันหัน เธอย่อมเซอร์ไพรส์อยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าเธอยังตื่นเต้นจนสมองเบลอไปนั้น จู่ ๆ ภวินท์ก็ตบมือทันที
ไม่นานนัก พายุก็จัดการยกลังใหญ่หนึ่งลังเดินเข้ามา และจัดการวางลงบนโต๊ะนีราภาทันที
นีราภาจ้องมอง บนลังกระดาษสีน้ำตาลนั้นประทับตราคำว่ามะม่วงลูกใหญ่เด่นชัด แถมด้านข้างยังเขียนตัวอักษรไว้ว่า “มะม่วงเกรดพรีเมี่ยม”
เมื่อมองเห็นมะม่วงลังนี้ จู่ๆ เธอก็รู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อย และมองไปทางภวินท์อย่างประหลาดใจ “คุณภวินท์ นี่คุณกำลัง...”
ภวินท์แหงนหน้าชูปลายคางขึ้น เพื่อแสดงความหมายและพูดออกมา “ของพวกนี้ ผมยกให้คุณหมดเลย”
นีราภาไม่เข้าใจ “นี่คือ...”
ภวินท์กวาดตามองเธออย่างเย็นชา แต่ไม่ได้พูดว่าอะไร พลางหันหน้าไปมองพายุแทน
พายุเข้าใจความหมาย เดินนำหน้าออกมา และจัดการยื่นโทรศัพท์มาทางด้านหน้าของนีราภา
เมื่อนีราภาเหลือบมอง กลับเป็นคลิปวิดิโอตอนหนึ่ง ซึ่งเป็นตอนที่เธอเอาน้ำมะม่วงไปใส่ในแก้วของญาธิดาจังหวะนั้นพอดี!
วินาทีนั้น เธอเสียวสันหลัง “คุณภวินท์คะ ... ดิฉันก็แค่อยากจะเตือนเธอเท่านั้นเอง เพราะว่าเธอ ทำให้เกิดข่าวลือเสียๆ หายๆ ของคุณไปทั่วบริษัท ดิฉันอดใจไม่ไหวคะ...”
ไม่รอให้เธอได้พูดจบ ภวินท์ก็เอ่ยปากอย่างเสียงเย็นเฉียบ และพูดแทรกคำพูดของเธอ “กินพวกนี้ให้หมด”
นีราภามองตามสายตาของภวินท์ และมองมะม่วงลังใหญ่ลังนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ จนตัวสั่นเทาอย่างไม่รู้ตัว “ท่านประธานคะ ครั้งหน้าดิฉันไม่กล้าแล้วค่ะ...”
ภวินท์แทบไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ พร้อมทั้งออกคำสั่งทันที “มีทางเลือกให้สองทาง เลือกที่จะออกไป หรือจะกินให้หมด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...