ตลอดทางที่กลับจากอ่าวมะพร้าวญาธิดาซุกตัวอยู่ในรถ ร่างกายเย็นยะเยือกไปหมด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ริมชายหาดรับลมนานเกินไป หรือเพราะคืนนี้พบเจอเรื่องเลวร้ายน่ากลัวมามากเกินไปกันแน่ สรุปคือตอนนี้มือเท้าของเธอเย็นเฉียบไปถึงกระดูก จะพยายามทำให้อุ่นอยู่นานแต่ก็ไม่หายสักที
ภวินท์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ เขากวาดสายตามองไปที่มือสองข้างของเธอที่ประสานกันไว้แน่น เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกไปกุมมือเอเอาไว้เบา ๆ
มือของหญิงสาวเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง เขาอยากจะจับมือของเธอเข้ามาให้ความอบอุ่นด้วยมือใหญ่ ๆ ของเขา เพื่อทำให้ร่างกายของเธออบอุ่นขึ้น แต่ใครจะรู้ว่าจู่ ๆ ญาธิดาก็ร้อนใจอยากจะรีบดึงมือของตัวเองออก
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย มือใหญ่ออกแรงเพิ่ม กุมมือของเธอไว้ในฝ่ามือไม่ยอมปล่อย
เขาหันไปหาเธอแล้วก็สบสายตาเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย แต่ลึก ๆ ภายในดวงตากลับแฝงความระแวดระวังและความเย็นชาเอาไว้
เมื่อเธออยากจะดึงมือของตัวเองออกอีกครั้ง ภวินท์จึงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “อย่าขยับ”
พูดจบ มือใหญ่ทั้งสองของเขาก็กุมมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างของเธอประกบเข้าด้วยกัน ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าไปที่ฝ่ามือของเธอ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกสงบขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะถามขึ้นอย่างกะทันหันว่า “เมื่อห้าปีก่อนที่ฉันถูกจับไปมัดไว้กับประภาคาร คุณยังจำได้ไหม?”
เมื่อได้ยินเธอพูดถึงเรื่องนี้ เขาชะงักนิ่งไปเล็กน้อย แล้วตอบเบา ๆ ว่า “อืม”
ญาธิดากัดริมฝีปากเบา ๆ แล้วหันไปหาเขา “แต่ฉันจำได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ ตอนนั้น...คุณเป็นคนช่วยฉัน?”
แววตาของภวินท์หมองหม่น ลูกคอของเขาขยับเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “เรื่องในอดีตแค่ลืมมันไปซะเถอะ เรื่องแย่ ๆ ไม่จำเป็นต้องไปนึกถึงมันอีก”
หลังจากพูดจบ เขาก็เอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้ ท่าทางเหมือนจะเหนื่อยล้า จากนั้นก็หลับตาลงแต่ยังคงกุมมือของเธอไว้ไม่ยอมปล่อย
เมื่อได้ยินแบบนั้น ญาธิดาก็จมดิ่งอยู่ในความเงียบ เธอหวนนึกถึงคำที่ภูผาพูดตอนอยู่ทะเลเมื่อครู่นี้ ยิ่งคิดยิ่งไม่สบายใจ
เรื่องเมื่อห้าปีก่อนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เธออยากรู้ แต่ตอนนี้ถ้าอยากจะรู้เรื่องอะไรจากภวินท์เกรงว่าคงจะยาก
กว่าจะมาถึงวิลล่าของหลุยส์ก็ดึกมากแล้ว คุณย่าพักผ่อนไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย พวกเขาใช้ข้ออ้างที่ว่าจะออกไปตรวจขาข้างนอกมาปิดบังคุณย่า เพื่อไม่ให้เธอตกใจและเป็นกังวล
ทนัทีที่เดินเข้าประตูไป พวกเขาก็เห็นหลุยส์นั่งอยู่ที่บาร์ เขานั่งขาไขว่ห้างคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอย่างสบาย ๆ เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา เขาก็พูดกับปลายสายอีกด้านของโทรศัพท์พร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่า “ที่รักรีบนอนนะ” ก่อนจะกดวางสายไป
เขาอารมณ์ดีไม่น้อย เมื่อเห็นสีหน้าของภวินท์และญาธิดาที่ไม่ค่อยจะดีนักจึงเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยถามว่า “ทำไมสีหน้าแต่ละคนดูไม่ดีเอาซะเลย หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
ภวินท์ไม่ได้พูดอะไร แต่พายุที่อยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นว่า “คุณภูผาเซ็นแล้วครับ”
หลุยส์หัวเราะ “เรื่องดี แบบนี้ต้องฉลอง!”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ พลางกวาดสายตามองพวกเขา “ฉันเหนื่อยแล้ว ขอตัวไปพักก่อน”
หลังจากพูดจบเธอก็ไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะแสดงสีหน้ายังไง และเดินขึ้นชั้นบนกลับห้องของตัวเองไปทันที
กว่าเธอจะออกจากห้องอาบน้ำก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว เธอสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความ
สุดทางเดินบนชั้นสองมีห้องรูปครึ่งวงกลมที่ออกแบบเพื่อรับแสงแดดอยู่ห้องหนึ่ง ภายในเต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ เมื่อเปิดประตูเลื่อนสีใสออกก็จะมีระเบียงเล็ก ๆ ซึ่งเป็นมุมที่น่าอยู่มาก
ญาธิดาเดินออกจากห้องตรงไปยังห้องรับแสงของนั้น หลังจากรออยู่สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากระเบียงทางเดิน ก่อนที่เสียงเคร่งขรึมของพายุจะดังขึ้นจากทางด้านหลังของเธอ “คุณญาธิดาเรียกผมเหรอครับ?”
เมื่อได้ยินเขาเรียกแบบนี้ ญาธิดาก็อดหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้ “พายุ จากความสัมพันธ์ของเราสองคนคงไม่จำเป็นต้องเรียกชื่อเป็นทางการขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
พายุก็ยิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นต่อไปถ้าคุยกันเป็นการส่วนตัวผมจะเรียกชื่อคุณเลยก็แล้วกัน”
“เรื่องนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งจากท่านประธาน...”
ญาธิดาพูดขัดจังหวะเขา “พายุ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าฉันอยากรู้ยังไงก็สืบหาจนเจออยู่แล้ว ในเมื่อเป็นแบบนั้นไม่สู้นายบอกกับฉันตรง ๆ เลยจะดีกว่า”
พายุลังเลแล้วลังเลอีก แต่สุดท้ายก็ยอมบอก “เมื่อห้าปีก่อนท่านประธานเกือบเสียชีวิตเพราะคุณ”
เพียงประโยคเดียว แต่กลับทำเอาญาธิดารู้สึกหนักอึ้งไปทั้งหัวใจ
“ตอนนั้นท่านประธานยังมีอีกตัวตนหนึ่งซึ่งผมไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ว่าเกี่ยวข้องกับสิงโต สรุปคือขณะที่เขากำลังทำภารกิจ จู่ ๆ เขาก็ได้รับคลิปวิดีโอ ในวิดีโอนั้นคุณถูกผูกติดอยู่กับประภาคารกระแสน้ำกำลังขึ้น และคุณจะต้องจมน้ำอย่างแน่นอน”
“ตอนเห็นคลิปวิดีโอนั้นทุกคนต่างก็คิดว่ามันเป็นกลอุบายของอีกฝ่าย ทางหนึ่งก็เป็นภารกิจ อีกทางหนึ่งก็คือคุณ ท่านประธานบอกให้พวกเราทำตามแผนการที่วางเอาไว้ ส่วนเขาก็ไปตามหาคุณที่อ่าวมะพร้าวเพียงคนเดียว”
“เขาเป็นโรคกลัวทะเลลึกเพราะตอนเด็ก ๆ เขาเกือบจะจมทะเลเสียชีวิต ตอนนั้นน้ำกำลังขึ้น เพียงไม่นานมันก็ขึ้นไปถึงเส้นเตือนของประภาคาร ถ้าไปช้าคุณคงจะต้องจมน้ำตายอย่างไม่ต้องสงสัย ท่านประธานไม่มีทางเลือกและต้องฝืนโดดลงทะเลไป เรื่องที่เกิดขึ้นในทะเลผมก็ไม่รู้อะไรแน่ชัด รู้แค่เพียงว่าตอนที่พวกเราไปเจอเขา เขาก็หมดสติอยู่บนชายหาด ลมหายใจอ่อนแรงมาก พวกเรารีบพาเขากลับไป ต่อมาเขาก็ไข้สูงติดต่อกันหลายวันกว่าจะฟื้น หลังจากเขาฟื้นขึ้นมาคุณก็ไปจากเมืองJ แล้ว ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นผมไม่สะดวกจะเปิดเผย สรุปโดยรวมแล้ว เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้เขาถูกเข้าใจผิดจากหลายฝ่ายและสูญเสียโอกาสมากมาย ที่สำคัญกว่านั้น เขาอดทนต่อความกลัวทางร่างกายและจิตใจ และสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะช่วยคุณ...”
คำพูดของพายุในทุก ๆ คำมันทำให้ญาธิดาตกใจ ซาบซึ้ง เหลือเชื่อ และสับสนวุ่นวายใจไปหมด
ถ้าไม่ได้ยินพายุพูดด้วยหูของตัวเอง เธอคงไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้ ที่แท้เมื่อห้าปีก่อน ภวินท์เคยทำเพื่อเธอมามากมาย ยิ่งไปกว่านั้น การมีชีวิตรอดของเธอเมื่อห้าปีก่อนไม่ใช่เพราะโชคช่วย ไม่ใช่เพราะพวกคนร้ายรู้สึกผิดและหวาดกลัว และไม่ใช่เพราะพวกคนร้ายได้รับเงินไปแล้ว แต่เป็นเพราะเขา ที่ต้องเอาชนะความกลัวและพยายามช่วยเหลือเธออย่างสุดชีวิต
แต่เธอกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย!
เธอกัดฟันแน่น แต่น้ำตาก็ยังรินไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอทอดสายตามองออกไปไกลโดยไม่ได้พูดอะไร
เสียงของพายุดังขึ้นอีกครั้ง “เพื่อคุณแล้ว ท่านประธานได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนมากมายหลายอย่างจริง ๆ”
ญาธิดากัดริมฝีปากล่างอย่างแรง พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แล้วสงบสติอารมณ์ ก่อนจะหันไปมองพายุและพยักหน้าให้เขา “ขอบคุณนะที่บอกเรื่องพวกนี้กับฉัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...