ทั้งคู่สบตากัน ท่ามกลางพวกเขา ต่างมีอารมณ์ที่แตกต่างกัน
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบสติตัวเองให้ใจเย็น เมื่อได้สติก็กล่าวถาม “คุณรู้ได้อย่างไร”
ที่ภวินท์กล่าวเช่นนั้นเมื่อสักครู่ เป็นการมั่นใจว่าอีธานกับเอลล่านั้นเป็นลูกของเขา! แต่เรื่องนี้เธอปกปิดอย่างดี แล้วเขารู้ได้อย่างไร
ดวงตาของภวินท์ลุ่มลึก รู่ม่านตาดำขลับประกายราวกับหินออบซิเดียน จากนั้นก็กล่าวออกมาทีละคำ “เลือดที่ไหลเวียนบนตัวของอีธานกับเอลล่าครึ่งหนึ่งเป็นของฉัน ต่อให้ เธอจะปกปิดอย่างไร ก็ไม่สามารถปิดซ่อนความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้!”
เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้หัวใจของญาธิดาเต้น “ตึกตัก” ขึ้น อารมณ์ซับซ้อนที่ไม่สามารถอธิบายได้วนเวียนอยู่ในหัวใจ จมูกของเธอคัดฟืดฟัด น้ำตาที่กลั้นไว้ไม่อยู่ได้ไหลพรากออกมา
หลายปีที่ผ่านมา เพื่อเก็บความลับนี้ เธอต้องทุกข์ทรมานมาก! เธอทำทุกวิถีทางเพื่อปิดบังเขา แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเขาก็รู้อยู่ดี
เห็นหญิงสาวที่จู่ๆ น้ำตาก็ไหลไม่หยุด ภวินท์ก็เกิดความใจอ่อน เดินมาด้านหน้าครึ่งก้าว ยกมือมาเช็ดน้ำตาที่แก้มของเธอ จากนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยน “เวลานี้ แม้ว่าจะเป็นการทำเพื่อความปลอดภัยของลูกๆ พวกคุณก็จะต้องไปที่เมืองC”
“รอให้ฉันจัดการทุกอย่างทางนี้ให้เสร็จสรรพ แล้วฉันจะรีบไปให้โดยเร็วที่สุด พวกเราครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน”
“ครอบครัว” คำนี้ได้จี้จุดอ่อนของหัวใจญาธิดา ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดความรู้สึกของคำว่าครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร ตอนนั้นที่อยู่ด้วยกันกับธีทัต ก็ไม่ได้มีความรู้สึกของคำว่าครอบครัวแต่อย่างใด แต่ว่าช่วงนี้ ที่เธอพาอีธานกับเอลล่าและภวินท์ไปพักอยู่ด้วยกันที่คอนโดฯเล็กๆ กลับรู้สึกมีความสุขมากกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้จริงๆ
เกิดความบุ่มบ่ามที่ไม่ทราบสาเหตุปะทุขึ้นในใจ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กางแขนสองข้างออกแล้วกอดรอบเอวของภวินท์ไว้ น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยและแฝงด้วยความกังวลอย่างหนักหน่วง “ฉันอดเป็นห่วงไม่ได้ ฉันกลัว......"
กลัวว่าพวกเขาแยกจากกันแบบนี้ ต่อไปจะได้เจอกันอีกไหม กลัวว่าพวกเขายังไม่ทันได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ก็ไม่มีโอกาสแล้ว กลัวว่าจะเหมือนกับหกก่อนปี ที่แยกจากกันและไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาเจอกันอีก
ฉับพลันภวินท์ก็เกิดใจอ่อน เขายื่นมือออกมา ตอบที่หลังเธอเบาๆ จากนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่มีทางเป็นอะไรอย่างแน่นอน”
ญาธิดากัดฟัน เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วกล่าว “ให้พยัคฆ์พาลูกๆ ไปที่เมืองC ส่วนฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณ”
ความปลอดภัยของอีธานกับเอลล่าต้องมาก่อนอยู่แล้ว แต่ว่าเธอนั้นไม่สามารถจากเขาไปที่เมืองCได้จริงๆ
ภวินท์ก้มหน้ามองแววตาที่แน่วแน่ของหญิงสาว หัวใจเต้นแรง ลังเลครู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ “ก็ได้ แต่ว่าคุณต้องรับปากผม คุณต้องเชื่อฟังผม ความปลอดภัยสำคัญที่สุด”
ได้ยินดังนั้น นัยน์ตาของญาธิดาผุดความดีใจออกมา และรีบพยักหน้ารับปากอย่างรวดเร็ว “รู้แล้วค่ะ!”
หลังจากรับปากมั่นเหมาะกันแล้ว พวกเขาก็ลงจากตึกทันที และกำชับพยัคฆ์และลูกแฝด
เมื่อจู่ๆ รู้ว่าญาธิดาอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปกับพวกเขา สองหนูน้อยก็ย่อมรู้สึกผิดหวังและเศร้าเสียใจ แต่เมื่อผ่านการปลอบประโลมจากญาธิดา บวกกับได้ยินว่าคุณตาคุณยายรอพวกเขาอยู่ที่นั่น ฉับพลัน ความรู้สึกเศร้าเสียใจก็บรรเทาลงไปไม่น้อย
ก่อนออกเดินทาง ญาธิดาอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงกำชับพยัคฆ์และต้องอีกครั้ง “พยัคฆ์ ต้อง ไม่ต้องขับรถเร็วมากในระหว่างทางนะ ความปลอดภัยที่หนึ่ง”
พยัคฆ์พยักหน้าทันที “ พวกเรารู้ครับ วางใจได้เลยพี่!”
ญาธิดายิ้ม มองดูอีธานกับเอลล่าที่นั่งอยู่บนที่นั่งสำหรับเด็กแถวเบาะหลัง ด้านข้างยังมีขนมขบเคี้ยว หนังสือ และไอแพดวางอยู่ ทันใดนั้นก็ได้คลายความเป็นห่วงในใจลงไปไม่น้อย
จากเมือง J ไปคฤหาสน์ที่เมืองC ใช้เวลาเดินทางสี่ชั่วโมง จะว่านานก็ไม่นาน ว่าช้าก็ไม่ช้า ระหว่างทางอีธานกับเอลล่ายังสามารถอ่านหนังสือเล่นเกมได้อีก ถือเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว
หลังจากที่โบกมือลากับพวกเขาแล้ว ในที่สุดรถก็สตาร์ทและเคลื่อนตัวจากไปอย่างช้าๆ
ญาธิดากับภวินท์ยืนเคียงกัน มองดูรถแล่นไกลออกไปจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว เธอก็ยังมองเงารถด้วยความกังวล
ทันใดนั้น หัวไหล่เกิดหน่วงขึ้น ฝ่ามือหนาใหญ่ข้างหนึ่งมาจับเข้าที่หัวไหล่ของเธอ ข้างใบหูมีเสียงปลอบใจของภวินท์ดังลอยมา “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไม่นานพวกเขาก็ไปถึงแล้ว”
ญาธิดาพยักหน้า แล้วหันหลังตามเขากลับไปยังคอนโดเล็กๆ
ทันทีที่สองหนูน้อยจากไป คอนโดก็กลับคืนสู่ความเรียบร้อย ความเงียบสงบ จนรู้สึกอ้างว้าง
“ใช่ ฉันรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเกล้าแก้ว”
ได้ยินดังนั้น ภวินท์หยุดชะงักครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “เข้าใจแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
หลุยส์กล่าวด้วยความโมโห “คนของเราตามเขาไปแล้วก็หายไปเลย เขาปรากฏตัวที่โรงพยาบาลแป๊บเดียว จากนั้นก็ไม่เห็นแล้ว”
ภวินท์กล่าวด้วยเสียงต่ำ “เห็นที ข้างตัวของเขาจะต้องมีลูกน้องอื่นอีก”
ถึงแม้จะจับตัวครามได้แล้ว แต่เมื่อทางตำรวจทำการสอบปากคำ เขาก็ไม่ยอมปริปากใดๆ และตอนนี้ภูผายังอยู่ที่เมือง J ยังพาผู้หญิงหนึ่งคนด้วย แต่กลับสามารถหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว ก็แปลได้ว่าข้างตัวเขายังมีคนอื่น
นี่ไม่ใช่ข่าวที่ดี
“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อกล่าวจบ ภวินท์ก็วางสายโทรศัพท์ ความอึมครึมปกคลุมอยู่บนใบหน้าของเขาเป็นเวลานาน ไม่จางหายไปสักที
ญาธิดาที่อยู่ข้างๆ มองดูปฏิกิริยาของเขา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
ภวินท์ส่ายหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าภูผาอยู่ที่ไหน เกรงว่าเรื่องราวจะไม่ง่ายในการจัดการเสียแล้ว”
ญาธิดาขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะถาม “อย่างนั้นพวกเราทำได้เพียงรอให้เขามาหาพวกเราเหรอ”
ภวินท์ไม่ตอบ
ในใจเขารู้ดี รอให้ภูผามาหาพวกเขาเอง เรื่องราวจะต้องยิ่งยุ่งยากแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...