เจ้าหนูน้อยรู้สึกว่าพี่ใหญ่ของตนเองนั้นคงแต่งงานกับพระชายาปลอม บอกว่าจะไปหาพี่ใหญ่ แล้วคิดจะใช้เพียงแค่ตาเพื่อดูจริง ๆ หรือ ? เขาจำได้ว่า เมื่อก่อนหากท่านแม่พูดว่าจะไปหาท่านพ่อที่ห้องหนังสือ ก็มักจะนำน้ำแกงโสมหรือขนมไปให้ด้วย
“ขนมในลานของเสด็จแม่อร่อยมาก” เจ้าหนูน้อยเหลือบมองเค้กสับปะรดที่อยู่ในจาน
หมิงโร่รู้สึกว่าตนเองนั้นเข้าอกเข้าใจผู้อื่นดี จึงหันหน้าไปพูดกับจือเฉ่าว่า : “นำเค้กสับปะรดใส่จาน ให้ซื่อจื่อนำกลับไปกิน”
“......” เจ้าหนูน้อยแหงนมองฟ้าอย่างจนปัญญา
“เพคะ พระชายา” จือเฉ่ารียใช้กล่องอาหารใส่เค้กสับปะรดจานหนึ่ง แล้วยื่นให้กับแม่นมจิน
ตลอดทางที่เดินไปยังเรือนเหมย เจ้าหนูน้อยเดินอยู่ข้าง ๆ หมิงโร่อย่างเป็นระเบียบ
“เจ้าหนูน้อย เจ้าอายุเท่าไรแล้ว ?” หมิงโร่เห็นขนาดตัวที่เล็กของเจ้าหนูน้อย แต่กลับมีท่าทางการเดินที่ดูเหมือนผู้ใหญ่ จึงไม่อาจตัดสินอายุออกมาได้
“ห้าขวบ ทำไมเสด็จแม่เอาแต่เรียกข้าว่าเจ้าหนูน้อยอยู่ตลอดเลยพ่ะย่ะค่ะ ?” ถึงแม้จะรู้สึกว่า “เจ้าหนูน้อย” จะเป็นคำเรยกที่ฟังดูแปลกประหลาด แต่ฟังดูแล้วก็รู้ว่าไม่มีเจตนาร้าย
“เพราะไม่รู้ชื่อของเจ้าไง อีกทั้งดู ๆ ไปแล้วเจ้าก็เหมือนกับก้อนแป้งหอม ๆ นิ่ม ๆ” เวลาที่หมิงโร่เห็นเจ้าหนูน้อย ก็มักจะคิดถึงเจ้าหลานชายบัวลอย พวกเขาต่างก็มีดวงตาดำขลับเป็นประกาย น่ารักเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าชื่อว่า......เซวียนเอ๋อร์” เจ้าหนูน้อยตอบอย่างจริงจัง
ทั้งหมดเดินเข้าไปในเรือนเหมย จือซูรออยู่นอกห้องบรรทมตามปกติ มีเพียงเจ้าหนูน้อยที่เดินตามหมิงโร่เข้าไป
ซือห้าวเฉินสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีฟ้าอ่อน เส้นผมที่ดำขลับใช้ปิ่นปักผมสีขาวรวบขึ้นไปกึ่งหนึ่ง เส้นผมที่เหลือพลิ้วไหวอยู่ด้านหลัง ใบหน้าอันหล่อเหลาซีดเผือดเล็กน้อยเพราะอาการป่วย
ว้าว ในสายตาของหมิงโร่ นี่คือคนไข้ที่งดงามอย่างเหมาะสมจริง ๆ
รวบรวมสมาธิเรียบร้อย หมิงโร่ก็ตรวจชีพจรให้ซือห้าวเฉินก่อน จากนั้นก็เริ่มฝังเข็ม โดยมีหมอสวีคอยเป็นผู้ช่วยอย่างเช่นทุกครั้ง
เซวียนเอ๋อร์เห็นหมิงโร่ฝังเข็ม ดวงตาลุกวาวเป็นประกาย----เจ้าพี่สะใภ้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ดูเหมือนกับปรมาจารย์กังฟูอย่างไรอย่างนั้น
เข็มเงินถูกฝังเข้าไปจนครบ หมิงโร่ดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง ซือห้าวเฉินพิงตัวอยู่ตรงหัวเตียง แล้วเริ่มถามบทเรียนของเจ้าหนูน้อย
หมิงโร่แอบรู้สึกตกใจ เจ้าหนูน้อยบอกว่าตนเองอายุห้าขวบ แต่คนสมัยก่อนมักจะพูดอายุหลอก ที่จริงก็น่าจะมีอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น ให้เด็กเล็กขนาดนี้เรียนคัมภีร์ประวัติศาสตร์ ไม่ดูเสียสติไปหน่อยหรือ
ที่น่าแปลกก็คือ เจ้าหนูน้อยกลับเรียนอย่างตั้งใจ อย่างน้อยก็ท่องจำได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อคิดถึงตัวเองตอนที่อายุขนาดนี้ คุณปู่ให้ท่อง《กวีราชวงศ์ถัง》ก็แทบอยากจะหนีออกจากบ้าน ช่างน่าละอายยิ่งนัก
“นายท่าน” อะอีเดินเข้ามาจากด้านนอก
“มีเรื่องอะไร ?” ซือห้าวเฉินน้ำเสียงเย็นชา เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่ผู้ใต้บังคับบัญชา มาเห็นตนเองในสภาพที่ถูกฝังเข็มจนดูเหมือนกับเม่นเช่นนี้
“สาวใช้ของเจ้าผู้พี่มาเชิญหมอสวีพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าเท้าของเจ้าผู้พี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส” อะอีก้มหน้า เขารู้ดีว่าสถานการณ์เช่นนี้เขาควรถนอมชีวิต และอยู่ห่างจากองค์ชายเอาไว้ เขาคิดถึงช่วงเวลาที่ทำหน้าที่องครักษ์ลับ ทำไมใต้เท้าฉินยังไม่กลับมาสักทีนะ
"เจ้าไปดูซิ" น้ำเสียงของซือห้าวเฉินไม่แยแส ราวกับว่าตนเองไม่สนใจว่าน้องสาวจะเป็นเช่นไร
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” หมอสวีหยิบกล่องยา แล้วเดินตามอะอีออกไป
หมิงโร่กลับรู้สึกว่าซือห้าวเฉินเป็นห่วงน้องสาวปี้ฉือผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง อย่างไรเสียหมอสวีผู้นั้นก็เป็นคนที่ซือห้าวเฉินหามา เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองเล่นตุกติก ตอนนี้เขาส่งหมอสวีออกไป ไม่เท่ากับว่าซือห้าวเฉินเห็นน้องสาวปี้ฉือผู้นี้ สำคัญกว่าชีวิตของตนเองหรอกหรือ ?
“อีกอย่าง......พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องจะต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงตลอดเวลาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” ไป๋เชินรู้สึกหงุดหงิด ถึงแม้ท่านอ๋องจะจัดการธุระต่าง ๆ ได้แม้จะอยู่ในจวน แต่บางครั้ง ก็จำต้องปรากฏตัวบาง
“หากอยากออกไปเดินเล่น ที่จริงแล้วก็สามารถใช้รถเข็นได้” ที่จริงแล้วหมิงโร่ก็รู้สึกแปลกใจกับสภาพร่างกายของซือห้าวเฉินเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะเป็นจอมพลังที่ฆ่าไม่ตาย
“รถเข็น ?” ไป๋เชินแสดงสีหน้าเหมือนเด็กขี้สงสัย หลังจากหมิงโร่อธิบายถึงลักษณะของรถเข็นโดยละเอียดแล้ว ไป๋เชินก็เข้าใจในทันที “ที่พระชายาทรงกล่าวมาหมายถึง รถสี่ล้อที่ให้คนไข้พิการนั่ง”
“เอ่อ......ก็ประมาณนั้น” คนที่นี่เรียกรถเข็นว่ารถสี่ล้ออย่างนั้นหรือ ?
ไป๋เชินนึกถึงลักษณะของรถสี่ล้ออยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง : “เรียกว่ารถเข็นดูจะเหมาะสมกว่าจริง ๆ”
“ใต้เท้าไป๋ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ ?” หมิงโร่เตรียมที่จะพาเจ้าหนูน้อยกลับไปกินข้าวให้อิ่ม จากนั้นก็แลกกับหนังสือสองสามเล่มเพื่อนำกลับมาอ่าน อย่างไรเสียร่างเดิมก็ถูกเลี้ยงดูมาในลัทธิเต๋า จึงร่ำเรียนเพียงแค่《กฎของสาวนาง》、《ข้อควรสาวนาง》ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับทำความเข้าใจกับโลกใบนี้
“ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เชิญพระชายาเสด็จ” ไป๋เชินส่งหมิงโร่ออกจากเรือนไผ่อย่างนอบน้อม แล้วหันหลังเดินกลับไปยังห้องบรรทม
ตอนนี้ซือห้าวเฉินเอนตัวอยู่บนหมอนนุ่ม หมอสวีเพิ่งกลับมาจากเรือนเบญจมาศ กำลังตอบคำถามอยู่ : “เจ้าผู้พี่น่าจะแกล้งป่วยพ่ะย่ะค่ะ ข้อเท้าไม่แดงและไม่บวม ชีพจรเองก็ปกติดี”
ถ้าหากเสิ่นปี้ฉืออยู่ที่นี่ เกรงว่าคงจะโกรธจนหมดสติ วันนี้นางตื่นขึ้นเพราะความเจ็บปวด ข้อเท้าทั้งเจ็บทั้งชาและบวมปูด เมื่อสัมผัสถูกก็จะรู้สึกเจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่ม ตอนนี้อย่าว่าแต่จะให้นางลุกเดินเลย แค่นอนนิ่ง ๆ ก็ยังรู้สึกเจ็บ
“เจ้าออกไปได้แล้ว” ซือห้าวเฉินโบกมือ หมอสวีโค้งคำนับแล้วออกจากห้องไป
“ท่านอ๋อง” ไป๋เชินยื่นจดหมายในมือให้ซือห้าวเฉิน “เมื่อครู่พระชายาสั่งสอนซื่อจื่ออยู่ที่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ ?” ซือห้าวเฉินรู้สึกสงสัยเล็กน้อย องค์หญิงหงสาสอนอะไรเซวียนเอ๋อร์กันแน่ ถึงควรค่าให้ไป๋เชินใช้คำที่จริงจังอย่างคำว่า “สั่งสอน” สองพยางค์นี้ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงชีวันพสุธา
ไม่อัพต่อแล้วหรอคะ เรื่องนี้ตามหามานานมาก เสียดายจัง...
เรื่องนี้ก็ดองนานมากเลย😭...