ประตูห้องผู้ป่วยถูกเปิดออกกะทันหัน ตามด้วยเสียงทุ้มต่ำของใครสักคนดังขึ้น“ใครบอกว่าฉันจะไม่เอาคุณกับลูกกัน”
สองแม่ลูกที่กอดกันร้องไห้อยู่นั้นก็ชะงัก แล้วแยกออกจากกัน หันไปมองทิศทางของประตู
ตอนที่พวกเธอเห็นหนานกงเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูนั้นก็หน้าซีดเผือดไปชั่วขณะ อย่างแรกคือ หนานกงเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเมื่อสักครู่ได้ยินที่พวกเธอคุยกันหรือเปล่า?
แล้วอีกอย่าง......เมื่อสักครู่พวกเธอได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปหรอไหม? คงไม่มีหรอกใช่ไหม? เกือบไปแล้วจริงๆ!
ไป๋ยิ่งอันที่เห็นหนานกงเฉินนั้นก็ตกใจ เธอนั่งอยู่บนเตียงโดยที่น้ำตานองหน้า เห็นแล้วก็น่าสงสารจับใจ
ซูวยาหยงก็ตกใจเช่นกัน แต่เธอก็รู้ตัวแล้วตอบสนองก่อนไป๋ยิ่งอัน
เธอเช็ดน้ำตาบนหน้าออก แล้วกดความดีใจที่ก่อขึ้นในใจนั้นลงไป ตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า“คุณชายเฉินไม่เอายิ่งอันกับลูกแล้วไม่ใช่หรอคะ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
หนานกงเฉินมองหน้าเธอ แต่ไม่ได้ตอบ กลับก้าวเดินเข้ามาแล้วเดินเข้าไปที่เตียงของเด็กน้อยก่อน มองเด็กที่กำลังหลับปุยอยู่บนเตียง แล้วค่อยเดินไปอยู่หน้าเตียงของไป๋ยิ่งอัน และมองเธออยู่อย่างนั้น
นอกจากเธอที่ดูอ้วนขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไป ยังคงมีผมสีดำยาวๆ ผิวขาวสะอาด ตอนร้องไห้ก็จะทำให้คนอื่นรู้สึกอยากปกป้อง
สักพักถึงจะพูดขึ้นว่า“ยังจำสิ่งที่เราสัญญากันได้ไหม?”
ในที่สุดไป๋ยิ่งอันก็รู้สึกตัว เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเธอออก
เธอดีใจไม่น้อยไปกว่าซูวยาหยงเลย หนานกงเฉินมาแล้ว เขามาแล้ว ดูก็รู้ว่าเขายังคงเป็นห่วงเธอกับลูกอยู่ เธอคิดไม่ถึงว่าจุดพลิกที่เห็นในละครจะมาเกิดขึ้นที่ตัวเธอได้
เพื่อไม่ให้ความดีใจของเธอจะแสดงออกมากับน้ำเสียง เธอไม่กล้าแม้แต่จะพูด
หนานกงเฉินยืนอยู่ห่างเธอไม่ถึงหนึ่งเมตร นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่หนานกงเฉินอยู่ใกล้เธอขนาดนี้ ใกล้จนได้กลิ่นหอมที่แสนมีเสน่ห์ของเขา
เธอรู้สึกว่าตัวเธอแทบจะหลงใหลไปกับความสง่าของนั่น เธอกลัวเธอจะเก็บความดีใจของเธอไว้ไม่อยู่ แล้วทำให้การเจอกันครั้งแรกของพวกเธอพัง
การไม่พูดเป็นทางที่ดีที่สุด ดังนั้นเธอแค่พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า’จำได้’สองคำ แล้วเสหน้าไปทางอื่น ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
“ผมจำได้ว่าผมเคยบอกไว้ว่า ถ้าเด็กคลอดออกมาแล้วผมยังเลือกคุณ ผมจะมารับคุณและลูกกลับบ้าน ตอนนี้ลูกได้คลอดออกมาแล้ว และผมก็ไม่อยากทิ้งคุณไป ดังนั้น...... ”หนานกงเฉินยิ้ม“เรากลับบ้านกันนะ”
ในที่สุดไป๋ยิ่งอันก็เก็บความดีใจไม่อยู่ ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ
น้ำตาพวกนี้เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ หนานกงเฉินบอกว่าจะพาเธอกลับบ้านงั้นหรอ? เขาตกลงที่จะพาเธอกลับบ้านแล้ว ก็แสดงว่าเวลาครึ่งปีที่เธอทำมามันไม่ได้เปล่าประโยชน์ แผนของพวกเธอก็ไม่ได้ล่ม
ซูวยาหยงก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ แต่เธอไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกตัวเองไว้ พูดด้วยทั้งน้ำตาว่า“คุณชายเฉิน แค่มีคำนี้ของคุณ แม้ยิ่งอันต้องลำบากอีกเท่าไหร่ก็ถือว่าคุ้มค่า”
“ลำบากคุณแล้วสินะ” หนานกงเฉินยกมือขึ้นจะวางที่ไหล่ของไป๋ยิ่งอัน
อาจเป็นเพราะตื่นเต้นและดีใจเกินไป ทำให้ไป๋ยิ่งอันหดตัวตังเองกลับ แล้วร่างกายก็ถอยห่างด้วยสัญชาตญาณ
การที่เธอถอย ทำให้สะกิดความเอ็นดูของหนานกงเฉินที่มีต่อเธอ มือของเขาค้างไว้แบบนั้น แล้วค่อยว่างลงบนไหล่ของเธออีกครั้ง แล้วค่อยไโอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด
พอได้รับอ้อมกอดของเขา ทำให้ไป๋ยิ่งอันอ่อนระทวยไปทั้งตัว พอรู้สึกตัวเธอก็เอามือโอบเอวของเขาไว้แล้ว ใบหน้าเล็กที่แนบกับหน้าท้องที่แข็งแกร่งนั่น ทำให้เธอดีใจจนร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
ไป๋ยิ่งอันมองบ้านพักแสนกว้างใหญ่ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็อารมณ์ก็ค่อยๆดีขึ้น แต่ยังคงหลงเหลือความตื่นเต้นเล็กน้อย
บ้านพักหลังนี้คือที่ไป๋มู่ชิงเคยพูดถึงในสมุดบันทึกที่เป็นบ้านพักเจียงจิ่งหรอ? ทำไมหนานกงเฉินถึงพาเธอมาที่นี่ล่ะ?
เธอหันกลับไปหาซูวยาหยงที่ดึงดันจะตามมา
ซูวยายหยงยิ้มให้เธอเล็กน้อย แล้วพูดเบาๆข้างๆหูของเธอว่า“อย่าลืมว่าลูกเป็นผู้หญิงที่กล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน”
“แต่หนูลืมโครงสร้างของบ้านนี้ไปแล้ว” ไป๋มู่ชิงเคยพูดถึงบ้านหลังนี้กับเธอ ตอนนั้นเธอคิดว่ามันเป็นแค่ที่พักหนานกงเฉินที่จะมาพักเป็นนานๆครั้ง เธอคงไม่มีโอกาสได้มาหรอก เลยไม่ได้ไปสนใจมากนัก
คิดไม่ถึงว่าครั้งแรกที่ได้อยู่กับหนานกงเฉิน ก็คือห้องนี้
“ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก” ซูวยาหยงลูบมือเธอด้วยความอ่อนโยน
หลังจากที่หนานกงเฉินส่งลูกเข้านอนด้วยตัวเขาเองแล้วก็เดินออกมาเห็นสองแม่ลูกกระซิบกระซาบกันอยู่ เขายกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ซูวยาหยงรีบตอบอย่างยิ้มๆว่า“คือว่ายิ่งอันกลัวว่าถ้าคุณผู้หญิงรู้ว่าคุณพาเธอกลับมาอยู่ด้วยแล้วจะโกรธอ่ะค่ะ อาจจะทำให้คุณเดือดร้อนได้”
“วางใจเถอะครับ คุณยายท่านไม่ได้น่ากลัวแบบที่พวกคุณคิดหรอก” หนานกงเฉินเดินเข้ามาแล้วโอบไหล่ของไป๋ยิ่งอันเอาไว้ แล้วพาเธอเดินไปนั่งที่โซฟา“ที่นี่อาจจะไม่ใหญ่เท่าบ้านของตระกูลหนาน แต่สภาพแวดล้อมและบรรยากาศเหมาะกับลูกของเรา ใกล้โรงพยาบาลอีกด้วย คุณว่ายังไง?”
“ฉัน......ฉันยังไงก็ได้ค่ะ” ไป๋ยิ่งอันมองเขาด้วยความไม่เป็นธรรมชาติ“แค่ได้อยู่กับคุณและลูก แม้ว่าจะอยู่ในบ้านคนจนฉันก็ยอม”
สายตาของหนานกงเฉินมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ แบบนี้มักจะทำให้เธอรู้สึกใจอยู่ไม่เป็นสุข
“คุณสามารถคิดแบบนี้ได้ก็ดีแล้ว” มือที่โอบอยู่บนไหล่ของเธอได้เลื่อนต่ำลงมาที่ฝ่ามือของเธอ บนนิ้วนางมือเรียวสวยนั้นได้สวมแหวนหยกเม็ดงามเอาไว้
แหวนวงนี้แม้จะเป็นผลงานของนักออกแบบชื่อดัง เลียนแบบออกมา แต่ยังไงมันก็เป็นของปลอมอยู่ดี ไป๋ยิ่งอันซ่อนนิ้วนางของเธอเข้าไปใต้ฝ่ามืออีกข้าง
ดีที่หนานกงเฉินแค่จับฝ่ามือเธอเพื่อแค่ปลอบโยน แล้วก็ได้ปล่อยมือออกไป
ซูวยาหยงที่กังเกตุเห็นถึงความวิตกของไป๋มู่ชิง เพื่อป้องกันไม่ให้หนานกงเฉินรู้สึกถึงความผิดปกติไปของเธอ ก็รีบเปลี่ยนเรื่องสนทนา“คุณชายเฉินคะ ยิ่งอันพึ่งคลอดลูกไป แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วย ถึงแม้ว่าจะมีแม่นมอยู่ แต่ฉันก็ไม่ค่อยไว้วางใจสักเท่าไหร่ ฉันอยากอยู่ดูแลเธอสักพักได้ไหมคะ?”
“เอาที่ยิ่งอันสบายใจเลยครับ” หนานกงเฉินพูดด้วยท่าทีสบายๆ
“ขอบคุณค่ะ” ไป๋ยิ่งอันถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
มีซูวยาหยงอยู่ช่วย เธอก็สบายใจขึ้นเยอะแล้ว
หนานกงเฉินที่นั่งข้างเตียงของลูก มองเขาดิ้นไปมา มองลูกที่หายใจอย่างรวดเร็วและผิวที่คล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ภาพที่เขาไม่ต้องการเห็นมากที่สุด สุดท้ายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
เขาแค่ไม่ได้เหมือนกับคุณผู้หญิงที่โยนความผิดทั้งหมดให้ไป๋ยิ่งอัน ในเมื่อตอนนั้นเขาเองก็ไม่เด็ดขาดพอ และยอมให้กับคำร้องขอของเธอ
เขายื่นมือไปยอกเล่นกับลูก ลูกก็เปิดปากตอบกลับทันที ในที่สุด บนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา
ไป๋ยิ่งอันนอนหันข้างมองเขา เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้น ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รังเกลียดลูกเพียงเพราะเด็กไม่แข็งแรง แล้วเขาก็ดูจะชอบลูกมากเสียด้วย
พอชินกับใบหน้าแสนเย็นชาของหนานกงเฉินแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่บนใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่นปรากฏขึ้น
ลูกน่าจะหิวแล้ว ดูจากการอ้าปากเล็กๆนั่นร้องไห้เสียงดัง
หนานกงเฉินที่เห็นลูกร้องไห้ ก็ทำอะไรไม่ถูก คนที่ไม่เคยอุ้มลูกอย่างเขา ยื่นมือออกไปอยากจะอุ้มลูก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง
จนถึงแม่นมวิ่งเข้ามา แล้วอุ้มลูกขึ้นจากเตียงแล้ววางไว้ที่อ้อมแขนของเขาด้วยใบหน้ายิ้มๆ“คุณชายใหญ่คงจะไม่เคยอุ้มเด็กใช่ไหมคะ? เด็กยังเล็ก คุณเอามือรองหัวเขาไว้ก็พอค่ะ”
หนานกงเฉินพยักหน้ารับ แล้วอุ้มลูกตามที่เธอสอน
“ที่จริงเด็กจะชอบให้ผู้ชายอุ้มนะคะ เพราะอ้อมกอดของผู้ชายกว้าง” แม่นมเดินออกไปชงนมให้ลูก พอชงเสร็จแล้วก็สอนหนานกงเฉินให้นมลูกอย่างใจเย็น
แม่นมหันกลับมาพูดกับไป๋ยิ่งอันว่า“คุณหญิงน้อยคะ ตอนกลางคืนคุณสามารถให้เด็กดูดนมได้แล้วนะคะ ไม่อย่างนั้นตอนกลางคืนถ้าน้ำนมมีเยอะเกินไปเด็กจะทานไม่หมดได้ คุณจะลำบากนะคะ”
สีหน้าของไป๋ยิ่งอันเปลี่ยนไปทันที แล้วเอามือโอบหน้าอกตัวเองไว้ด้วยสัญชาตญาณ“ฉัน......ฉันไม่เอาหรอก”
พอได้ยินเสียงของไป๋ยิ่งอัน หนานกงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วตามด้วยรอยยิ้มบางๆ“คุณตื่นแล้วหรอ?”
“อื้ม มองคุณเล่นกับลูกตลอด มองเพลินไปเลย” ใบหน้าของไป๋ยิ่งอันเขินจนขึ้นริ้วสีแดงเล็กน้อย
“ผมมองลูกบิดขี้เกียจแล้วก็ทำปากจู๋ๆน่ารักดี มองเพลินไปเหมือนกัน คุณที่ตื่นแล้วผมยังไม่รู้เลย ”
อยู่ๆไป๋ยิ่งอันก็เดินลงมาจากเตียงแล้วเดินไปกอดแขนของหนานกงเฉินไว้“คุณชายใหญ่คะ ฉันไม่อยากให้นมลูกจากเต้าเลย เขาพูดกันว่าถ้าให้นมลูกจากเต้าจะทำให้หน้าอกหย่อนยานได้ น่าเกลียดจะตายไป”
หนานกงเฉินมองเธอด้วยความแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดคำแบบนี้ออกมา ในความทรงจำของเขา ภรรยาของเขาไม่ห่วงภาพลักษณ์ ยิ่งมองลูกเสมือนชีวิตแบบนี้ เป็นได้ไงที่จะไม่ให้นมลูกจากเต้าเพียงเพราะจะรักษาหุ่นของตัวเอง?
ไป๋ยิ่งอันที่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ก็พูดอย่างยิ้มๆว่า“คุณเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรอคะ ตอนนี้สถานะของฉันมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ต้องรักษาภาพลักษณ์ไว้”
“แต่เมื่อก่อนคุณไม่ได้พูดแบบนี้นิ”
“คนเราก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” ไป๋ยิ่งอันยกข้อมือของตัวเองขึ้นพูดว่า“คุณดูสิคะ เพื่อความสวย ฉันไปศัลยกรรมรอยแผลที่เป็นกัดตรงข้อมือออกแล้ว”
หนานกงเฉินมองไปที่ข้อมือของเธอ เห็นรอยกัดตรงข้อมือของเธอหายไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เขาฝากไว้ให้เธอ ตอนนั้นเลือดไหลเยอะมาก แล้วก็ฝากรอยที่น่าเกลียดเอาไว้
ตอนนี้เหลือแค่สีผิวที่ยังคงหายไม่หมด แต่ก็ดูสวยขึ้นจากตอนนั้นมาก
ไป๋ยิ่งอันเขย่ามือไปมา“หมอบอกว่าอีกสองเดือนก็สามารถกลับเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว จะมองไม่ออกเลยว่าเคยมีแผล”
“หรอ ดีแล้วหล่ะ” มองไปที่ข้อมือที่ขาดสะอาดนั่น ในใจของหนานกงเฉินก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกแบบนี้
อาจจะเป็นเพราะเขาเคยจับมือของไป๋มู่ชิงไว้ มองรอยฟันที่ชัดเจนนั่นไม่เพียงแค่ไม่สงสารแล้ว ยังรู้สึกเหมือนประกาศว่านี่เป็นเครื่องหมายที่เป็นสำหรับเขาเอง
เมื่อเห็นร่องรอยที่เป็นของเขาถูกทำลายทิ้ง เขาก็รู้สึกผิดหวังงั้นหรอ? เขาส่ายหัว ไม่แปลกที่เธอในตอนนั้นบอกกับเขาว่า เขาเป็นคนบ้าอำนาจและเห็นแก่ตัว
“ผมก็เคยพูดไว้นิว่า ในสายตาของผมคุณไม่หลงเหลือภาพลักษณ์อะไรไว้แล้ว” เขายิ้ม
“คนบ้า”
“ถ้าคุณไม่อยากให้นมลูกจากเต้าก็ไม่เป็นอะไร เราให้ลูกดื่มนมวัวก็ได้”
“เฉิน คุณใจดีจัง” ไป๋ยิ่งอันยิ้มอย่างดีใจ แล้วยื่นมือไปเล่นกับลูก“คุณดูสิคะ ลูกดื่มนมวัวก็ดูมีความสุขดีนะคะ”
หลังจากที่ลูกดื่มนมเสร็จ หนานกงเฉินก็วางเขาลงบนเตียง ลุกขึ้นเอามือวางที่หัวของไป๋ยิ่งอันอย่างเบามือ“ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอก คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านนะครับ”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณกลับมานะคะ“ไป๋ยิ่งอันก็ส่งเขาไปที่ประตู”
พอหนานกงเฉินกลับถึงบ้านตระกูลหนานกง ก็เข้าไปพบคุณผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่ห้องรับแขก ดูก็รู้ว่าเธอรอการมาถึงของเขาโดยเฉพาะ
ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ พอคุณผู้หญิงเห็นหนานกงเฉินก็พูดด้วยน้ำเสียงที่โมโหว่า“เฉิน นายบอกจะไม่รับไป๋ยิ่งอันสองแม่ลูกนั่นกลับมาไม่ใช่หรอ?”
เมื่อสักครู่ที่ได้ยินข่าวว่าหนานกงเฉินไปรับไป๋ยิ่งอันสองแม่ลูกนั่นกลับไปที่เพ้นท์เฮ้าส์ของเขา ก็โกรธเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็โทรหาหนานกงเฉิน สั่งให้เขากลับมาหาเธอที่บ้าน
หนานกงเฉินกลับมาหาเธอโดยเฉพาะ ก็ต้องมีการเตรียมตัวที่จะรับมือกับเธอไว้อยู่แล้ว เขาเดินมาหาคุณผู้หญิงด้วยท่าทางใจเย็น แล้วนั่งลงตรงข้ามกับคุณผู้หญิง“คุณยายครับ คุณยายบอกว่าไม่อยากเห็นเด็กคนนั้นเสียใจ ผมเลยให้เขาไปอยู่ที่เพ้นท์เฮ้าส์ของผม แบบนี้คุณยายก็จะไม่ต้องไม่สบายใจอีก ผมตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงอายุเท่าไหร่ ผมก็จะเป็นคนเลี้ยงดูเขาเอง”
“นาย.......” คุณผู้หญิงโกรธจนหายใจติดขัด
ที่เธอทำแบบนี้ไม่ใช่จะกีดกันเด็กน่าสงสารคนนั้น แต่จะใช้โอกาสนี้ในการเขี่ยไป๋ยิ่งอันนั่นทิ้งสะ ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจเธอกัน? แล้วไม่คิดว่าเขาจะไปรับกลับไปที่เพ้นท์เฮ้าส์โดยไม่บอกเธออีก
“คุณยายครับ เราสัญญากันแล้วไม่ใช่หรอครับ ว่ารอลูกคลอดออกมาเมื่อไหร่ แล้วผมยังไม่สามารถลืมยิ่งอันได้ ก็จะรับเธอกลับมา”
“ใครสัญญากับนายกัน? นั่นคือนายสัญญากับตัวเองต่างหาก” คุณผู้หญิงพูดน้ำความโมโห“ที่ฉันสัญญากับนายคือ ถ้าเราให้เด็กคลอดออกมา นายก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นของนายจริงๆ คนที่ฉันเป็นคนจัดหาให้”
“ผมเคยบอกไปแล้วนิครับ ว่าเธอคนนั้นตายไปแล้ว”
“ฉันก็เคยบอกไปแล้วเหมือนกันว่าฉันไม่เชื่อ”
“คุณยายครับ.......” หนานกงเฉินพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย“เราอย่าไปหลงเชื่อสิ่งพวกนั้นเกินไปได้ไหมครับ? ให้คุณหนูจิ้งฉีเขาหลับให้สบายเถอะครับ แล้วก็เลิกตามหาคนที่ไม่มีตัวตนคนนั้นสักที แล้วยอมรับยิ่งอัน ผมแค่อยากทำงานตัวเองให้ดี ไม่อยากเสียเวลาให้กับความรู้สึกส่วนตัวมากเกินไป”
ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วที่คุณผู้หญิงได้ยินเขาพูดแบบนี้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกทั้งโกรธแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
“บอกว่าผมมีอายุอยู่ไม่ถึงสามสิบปี แต่ดูผมตอนนี้สิ อีกหนึ่งเดือนก็จะครบสามสิบแล้ว ก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรอครับ?” หนานกงเฉินพูดขึ้นอีกครั้ง
“ยังเหลือเวลาอีกเดือนหนึ่งไม่ใช่หรอ? อีกอย่าง พออายุสามสิบก็ยังมีเวลาตั้งหนึ่งปีเต็ม นายรับรองได้หรือเปล่าว่านายจะไม่เป็นอะไร?”
“แน่นอน” หนานกงเฉินตอบ
คุณผู้หญิงมองไปที่เขา ผ่านไปสักพักถึงจะพูดขึ้นว่า“ต้องรับเธอกลับมาให้ได้ใช่หรือไม่?”
“เธอคือแม่ของลูกของผม ผมต้องรับเธอกลับมาอยู่แล้ว”
“ได้ ถ้ามั่นใจว่าจะทำแบบนี้ ก็รับสองแม่ลูกนั่นกลับมาบ้านเถอะ”
“ถ้าคุณยายรู้สึกไม่สบายใจ ก็ให้พวกเราเลี้ยงดูลูกข้างนอกก็ได้ครับ อาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”
คุณผู้หญิงส่ายหน้า“ในเมื่อเขาก็เป็นลูกแท้ๆของตระกูลหนานกงของเรา ถึงแม้ว่าเขาจะไป ก็ควรให้เขาไปโดยที่อยู่ที่บ้านอย่างสบายใจ”
ถึงแม้ว่าการเห็นเขาทุกวันมันจะเศร้าใจ แต่ถ้าทิ้งให้เข้าอยู่ข้างนอก คุณผู้หญิงหญิงก็จะปวดใจยิ่งกว่า ก่อนหน้านั้นแข็งใจทิ้งเขาไป ก็เพื่อจะได้เตะไป๋ยิ่งอันออกจากตระกูลหนานกง ในเมื่อหนานกงเฉินยืนกรานที่จะให้ผู้หญิงคนนี้อยู่เคียงข้างกายเขา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องทิ้งเด็กเอาไว้ข้างนอก
เรื่องหลังจากนี้ คงต้องค่อยๆคิดไปทำไป
หนานกงเฉินที่เห็นเธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ในที่สุดก็พยักหน้าด้วยความโล่งใจ“ขอบคุณครับคุณยาย ถ้าอย่างนั้นผมจะไปรับพวกเขากลับมาคืนนี้เลย”
ซูวนาหยงยกมือขึ้นจับหน้าตัวเองเบาๆ น้ำเสียงก็เริ่มโกรธเคืองขึ้น“ถูกยัยแพศยานั่นข่วนนะสิ โหดเหมือนแม่มันไม่มีผิด”
“อะไรนะคะ? มันกล้าทำร้ายแม่หรอคะ?” ไป๋ยิ่งอันที่รู้ว่าเป็นไป๋มู่ชิงเป็นคนทำแม่ของเธอนั้นก็โกรธขึ้นมา
ซูวยาหยงกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินรับเอามือทำสัญลักษณ์บอกว่าให้เธอเงียบ แล้วพูดว่า“ช่างมันเถอะ ครั้งนี้ให้มันได้ใจไป หลังจากนี้มีให้มันเห็นดีแน่”
พอรู้ว่าอนาคตไป๋มู่ชิงจะแย่แค่ไหน ในใจของไป๋ยิ่งอันก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“เอ่อใช่ คนที่นี่ทำตัวเป็นยังไงกับลูกบ้าง?” ซูวยาหยงถาม
“เหมือนที่ยัยแพศยานั่นบอกเลยค่ะ แต่ละคนเย็นชากันมาก มีแต่ยัยผู่เหลียนเหยานั่นที่ดีกับหนูอยู่บ้าง”
“ยิ่งยิ้มไดอบอุ่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น โดยเฉพาะต้องระวังเด็กที่นามสกุลผู่นั้นไว้ ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา”
“หนูรู้แล้วค่ะแม่”
“แล้วหนานกงเฉินล่ะ? กับลูกเขาเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ไม่เลวค่ะ เขาอยู่ห้องตรงข้าม จะมาหาแค่ตอนกลางคืน เวลาอยู่ด้วยกันน้อยมาก เขาไม่ได้สงสัยอะไร” พอพูดถึงหนานกงเฉิน ไป๋ยิ่งอันก็ยิ้มด้วยความรู้สึกดี
“งั้นก็ดี แค่หนานกงเฉินกับคุณผู้หญิงดีกับลูกก็พอแล้ว คนอื่นไม่สำคัญ” ซูวายาหยงยังคงเป็นสีหน้าหนักใจ“ดังนั้นลูกต้องเก็บนิสัยลูกคุณหนูของลูกไว้ ปากต้องหวานและต้องละเอียดอ่อนหน่อย คนแก่น่ะเอาใจง่ายจะตาย”
ไป๋ยิ่งหน้าพยักหน้ารับพร้อมพูดขึ้นว่า“แต่ว่า ถึงแม้หนานกงเฉินจะทำดีกับหนูมาก แต่หนูก็ยังรู้สึกว่าเขาไม่ได้ใส่ใจหนูเต็มร้อยขนาดนั้น ไม่เหมือนกับผู้ชายที่หนูเคยคบด้วยเลย”
ซูยาหยงที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น ก็เงียบไปสักพักแล้วพูดว่า“ไป๋มู่ชิงเคยบอกแล้วไม่ใช่หรอ ในใจของหนานกงเฉินมีคนที่เป็นรักแรกของเขาอยู่แล้ว ตอนนั้นกับไป๋มู่ชิงเขาก็ไม่ได้จริงใจ ส่วนวันข้างหน้าเขาจะทำกับลูกยังไงนั้น ก็อยู่ที่การปฏิบัติตัวของลูกแล้วหล่ะ”
ซูวยาหยงพูดขึ้นอีกว่า“ที่นี่ไม่เหมือนกับเพ้นท์เฮ้าส์ หลังจากนี้จะมาหาบ่อยๆไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นลูกต้องระวังตัวเอามาก อย่าทำให้ครึ่งปีที่แม่ทำมาทั้งหมดนั้นสูญเปล่า”
“ค่ะแม่ มันก็เป็นความพยายามที่หนูทำมาเหมือนกัน”
“อื้ม ลูกคิดได้แบบนี้ก็ดี”
พออยู่บ้านตระกูลหนานได้สักพัก ซูวยาหยงก็รู้ตัวว่าควรกลับแล้ว ก็เดินทางกลับไป
พอใกล้กลับถึงบ้านตระกูลไป๋ จากที่ไกลๆซูวยาหยงเห็นมีรถเบนท์ที่คุ้นตาจอดอยู่หน้าประตูบ้าน คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน แล้วจอดรถไว้ข้างๆรถเบนท์ เลื่อนกระจกรถลงมองไปที่หลินอันหนานที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับรถ แล้วยิ้มเย้ยหยันว่า“คุณชายหลินคะ คุณแม่ของคุณบอกแล้วไม่ใช่หรอคะว่าจะไม่รับยิ่งอันเป็นลูกสะใภ้ ก็แสดงว่าตระกูลของเราไม่คู่ควรกับตระกูลหลินของพวกคุณ ดังนั้นคุณก็ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่อีก”
หลินอันหนานไม่ได้สนใจที่เธอพูด ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า“คุณอาไม่ให้เชิญผมเข้าไปดื่มชาในบ้านหน่อยเลยหรอครับ?”
“ยิ่งอันไม่อยู่บ้าน” สีหน้าของซูวยาหยงนั้นนิ่งขึ้น
“ผมรู้ครับ ตอนนี้ยิ่งอันได้ไปอยู่ที่บ้านของหนานกงเฉินอย่างสุขสบายแล้ว” หลินอันหนานยังคงตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
สีหน้าของซูวยาหยงแข็งกระด้าง มองหลินอันหนานด้วยสีหน้าแปลกใจ
เขารู้?เขารู้งั้นหรอ!
มือของเธอจับพวงมาลัยรถแน่นขึ้น ซูวยาหยงวางหน้าที่เย็นชากลับให้เป็นเหมือนเดิมแล้วพูดกับเขาว่า“ในเมื่อคุณชายหลินอยากเข้าไปดื่มชาก็เชิญเข้ามาเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับคุณอา” หลินอันหนานพูด
ซูวยาหยงขับรถเข้าไปจอดที่โรงรถหลัก ลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้าน จากนั้นให้น้าหงพาหลินอันหนานไปที่ห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นสอง ส่วนเธอก็เข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วยืนมองตัวเองที่อยู่ในกระจก
หลังจากยืนสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่ที่หน้ากระจกเสร็จ เธอถึงจะเดินไปที่ห้องนั่งเล่น
ตอนที่เธอไปถึง หลินอันหนานนั่งจิบชาอยู่บนโซฟาแล้ว สีหน้าไม่รีบไม่ร้อน เหมือนว่ามีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
ซูวยาหยงเดินไป มองหน้าของหลินอันหนานแล้วพูดว่า“เราจะมาคุยกันโดยไม่อ้อมค้อมเลยนะ คุณชายหลินมารอบนี้มาเพราะเหตุผลอะไร?”
ไม่รอให้หลินอันหนานได้เปิดปากตอบ เธอก็ถามขึ้นอีกว่า“แต่ฉันขอเตือนคุณไว้ก่อน ยิ่งอันนั้นเป็นคนของตระกูหนานกงอยู่แล้ว เธอคือคู่ครองของหนานกงเฉิน ตอนนี้เธอเข้าไปอยู่ในตระกูลนั้นแล้ว และเพื่อเป็นการแก้ไขความผิดที่เคยหลอกหนานกงเฉินไว้ นี่คือสิ่งมี่เธอต้องทำและเป็นความรับผิดชอบของเธอ ตัดความคิดทุกอย่างที่คุณมีต่อยิ่งอันสะ”
“คุณอาท่านก็ฉลาดและเห็นแก่ตัวมาก ตอนนั้นที่คิดจะเกาะตระกูลหลินของพวกผม ก็หน้าด้าน ไม่อายสักนิด คิดทุกวิถีทางที่จะให้ลูกสาวของคุณอ่อยผมให้ได้ พอตอนนี้หนานกงเฉินดีขึ้นแล้ว ก็คิดจะสะบัดตระกูลผมไปให้ไกลที่สุด กลัวว่าผมจะทำให้พวกคุณเสียเรื่อง ทั้งๆที่เห็นแก่ตัวใช้ไป๋มู่ชิงเป็นเครื่องมือ แล้วแย่งทุกอย่างที่เป็นของเธอมา แล้วยังพูดให้ตัวเองดูดีงามแล้วก็ยิ่งใหญ่อีกว่าเป็นการแก้ไขความผิดที่เคยโกหกหนานกงเฉิน ”
“มันเป็นตระกูลหลินเองไม่ใช่หรอที่ประกาศบอกว่าจะไม่เอายิ่งอัน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ตายใจจากคุณหรอก” ซูวยาหยงเถียงกลับด้วยความโกรธ
“แม่ผมก็ส่วนแม่ผม ผมก็ส่วนผม ผมยังไม่เคยพูดว่าจะไม่เอายิ่งอัน พวกคุณก็หาที่พึ่งใหม่แล้วไม่ใช่หรอ? ”หลินอันหนานยิ้มเยาะเย้ย แล้วก็เปลี่ยนเป็นพูดว่า“สิ่งที่ผ่านไปแล้วจะเป็นแบบไหนไม่พูดถึงก็ได้ ในเมื่อรอบนี้ที่ผมมาจุดมุ่งหมายไม่ใช่ยิ่งอันลูกสาวสุดที่รักของคุณอยู่แล้ว”
“หมายความว่าไง?” ซูวยาหยงไม่เข้าใจ
“หมายความว่า......ลูกสาวของคุณที่เป็นสิ่งที่ดี
ที่สุดในโลกแบบนั้น ผมรับไม่ไหวหรอก เก็บไว้ให้หนานกงเฉินค่อยๆเชยชมเถอะ” หลินอันหนานพูดช้าลงจนเหมือนพูดทีละคำๆ“ผมจะเอาไป๋มู่ชิงและจะเอาตอนนี้!”
“คุณพูดว่าอะไรนะ?” ซูวยาหยงมองเขาด้วยสายตาที่เหลือเชื่อ
ถึงแม้เธอจะรู้ว่าหลินอันหนานนั้นมีใจให้กับไป๋มู่ชิง แต่จากที่เธอดูแล้ว คนที่สามารถทิ้งความรู้สึกทุกอย่างเพื่อได้ผลประโยชน์เนี่ย มันคงเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้มีมากไปไหนหรอก อีกอย่างไป๋มู่ชิงตอนนี้คือการแต่งงานครั้งที่สอง และยังเคยมีลูกแล้วอีก เขาที่เป็นคุณชายหลินที่มีหน้ามีตาและถานะในเมืองซี อยากได้ผู้หญิงคนไหนมีหรือจะไม่ได้? อยากได้ของมือสองแบบนี้หรอ?
“ฉันคงฟังไม่ผิดหรอกใช่ไหม? คุณอยากได้ไป๋มู่ชิงนั่น?”
“คุณฟังไม่ผิดหรอก” หลินอันหนานตอบ
“เพราะอะไรล่ะ?”
“ไม่มีอะไรเหตุผลอะไร ก็คือรู้สึกว่าเทียบกับไป๋ยิ่งอันแล้ว เธอมีคู่ควรที่จะได้รับความรักจากผมมากกว่า”
“แต่ว่า......” ซูวยาหยงก็ไม่อยากให้ลูกของเธอโดนดูถูก ใจก็วุ่นไปหมด สักพักถึงจะพูดออกมาได้ว่า“แต่ว่าไป๋มู่ชิงไม่อยู่ที่นี่ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ”
ถ้าไป๋มู่ชิงยังอยู่ตอนนี้ เธอกับยิ่งอันจะได้มีชีวิตอยู่หรือไง?
เขามาขอไป๋มู่ชิงกับฉันงั้นหรอ เป็นเรื่องยากที่จะจัดการจริงๆ!
“คุณป้านี้ชอบพูดเล่นจังนะครับ” หลินอันหนานไม่คิดที่จะเชื่อในสิ่งที่ซูวยาหยงพูดเลยสักนิด เขาจ้องมองไปที่เธอแล้วยิ้มอย่างเย้ยหยัน“ด้วยนิสัยของคุณป้าแล้วเนี่ย เป็นไปไม่ได้ที่ทำอะไรแล้วไม่ทิ้งหนทางเหลือไว้ให้ตัวเอง เพื่อที่จะให้ไป๋ยิ่งอันมีตำแหน่งอยู่ในตระกูลหนานกง คุณไม่ปล่อยไป๋มู่ชิงเป็นอิสระตามที่พูดไว้แน่ แต่กลับจะเอาเธอไป......”
เขาหยุดไปสักพัก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นกว่าเดิม“แน่นอน ผมหวังว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่ด้วยดี ไม่อย่างนั้นละก็.......”
สถานการณ์สงบลงทันที ซูวยาหยงมองไปที่สายตาเย็นชาของหลินอันหนาน แล้วรีบพูดขึ้นว่า“เธอต้องยังมีชีวิตอยู่ๆแล้ว ฉันจะไปทำอะไรเธอได้ละ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หลินอันหนานลุกยืนขึ้นแล้วพูดกับซูวยาหยงด้วยสีหน้าจริงจังว่า“ผมจะให้พวกคุณสองทางเลือก หนึ่ง พาผมไปหาไป๋มู่ชิงเดี๋ยวนี้ สองคือพาผมไปบ้านตระกูลหนานกงโดยตรง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...