“ไม่ ฉันต้องไปถึงยอดเขาให้ได้” เธอเอนตัวไปข้างๆ หนานกงเฉิน ยิ้มเล็กน้อยอย่างละมุน “ถ้ามีคนแบกฉันขึ้นไปได้ก็คงจะดี”
หนานกงเฉินมองสำรวจเธอ “ถ้าฉันแบกเธอขึ้นไป เดาว่าฉันจะไม่มีแรงลงมา”
“ก็จริง” ไป๋ยิ่งอันยิ้มนิดๆ ให้เขา “ฉันล้อคุณเล่น ฉันจะให้คุณเหนื่อยได้ยังไง อีกอย่างสุขภาพคุณก็ไม่ค่อยดี”
ไป๋ยิ่งอันยังพูดไม่จบ ก็เห็นหลินอันหนานที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกลได้แบกไป๋มู่ชิงเดินขึ้นเขาไปแล้ว
และผู่เหลียนเหยาที่เท้าเอว ตะโกนเสียงดังใส่เซิ่งเคอบนเขา “เฮ้! เซิ่งเคอ! นายลงมานะ ฉันก็อยากขี่หลังขึ้นเขาเหมือนพี่สะใภ้!”
เซิ่งเคอเรียนรู้ท่าทางเท้าเอวจากเธอ พูดขึ้นโดยไม่อาย “ฉันก็อยากโดนอุ้มขึ้นไปเหมือนกันนะ? อยากให้ฉันแบกเหรอ? ไล่จับฉันสิ? จับได้ฉันจะแบกเธอ!”
“ไอ้เซิ่งเคอ! อย่าให้ฉันจับได้นะ!” ผู่เหลียนเหยาตะโกนและไล่ตามขึ้นภูเขา
ไป๋ยิ่งอันหันตัวกลับมาคิดจะอ้อนให้หนานกงเฉินแบกเธอหน่อย หนานกงเฉินก็เดินผ่านเธอขึ้นเขาไปแล้ว ไม่เคยเห็นใครคนไหนแสดงความรักน้อยไปกว่าเขาอีกแล้ว ไป๋ยิ่งอันเบ้ปาก เดินตามไปอย่างไม่เต็มใจ
นอนอยู่บนตัวหลินอันหนาน ไป๋มู่ชิงก็พูดอย่างอายๆ เล็กน้อย “คุณวางฉันลงดีกว่า ฉันไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด”
“ไม่ ฉันชอบแบกเธอ” หลินอันหนานพูด “ตอนนี้ฉันอยากทำทุกวิถีทางแสดงออกว่ารักเธอ เธอให้ฉันแบกเถอะ”
“แต่แบบนี้นาจะเหนื่อยแย่นะ”
“เหนื่อยแย่ก็ยิ่งดี ” แบบนี้เราจะได้พักค้างคืนที่นี่ โรแมนติกมาก!
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าช่วงนี้เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปฏิบัติดีๆ กับตน เห็นอกเห็นใจยิ่งกว่าตอนที่คบเขาก่อนหน้านี้อีก แต่หลินอันหนานแบบนี้ทำให้รู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างมาก
เพราะกลัวเธอเสียใจ กลัวเธอจากไป จึงทำดีกับเธออย่างกระตือรือร้นใช่ไหม?
“มู่ชิง ไม่รู้ทำไม ฉันมักรู้สึกว่าเธอจะทิ้งฉันไป” หลินอันหนานกล่าวเบาๆ
มู่ชิงโอบคอเขาแน่น แล้วพูดปลอบอย่างใจเย็น “คุณไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่ทำอย่างนี้แน่นอน”
“จริงเหรอ? ”
“แน่นอน” ไป๋มู่ชิงมองใบหน้าด้านข้างของเขา “คุณพูดตลอดไม่ใช่เหรอว่าเชื่อนิสัยฉัน? กลายเป็นไม่เชื่อตั้งแต่เมื่อไร? ”
หลินอันหนานคิด ยิ้มขมขื่นส่ายหน้า “ไม่รู้ อาจจะเป็นความกลัวก่อนแต่งงานที่เขากล่าวๆ กันมามั้ง”
ขณะที่กลุ่มคนเดินๆ หยุดๆ ไปถึงยอดเขา พระอาทิตย์กำลังจะตกดินตามคาด
ทุกคนนั่งเรียงแถวกันดูที่แท่นชม มองพระอาทิตย์ตะวันออกค่อยๆ จมท้องฟ้าทีละนิด
หลังจากพระอาทิตย์ตก จากนั้นท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืด คนบนภูเขาก็เริ่มทยอยลงเขา
ขณะที่ลงเขา ผู่เหลียนเหยาก็พูดขึ้นอย่างมีแรงบันดาลใจ “เรามาแข่งกันลงภูเขาดีไหม? มาดูกันว่าใครลงภูเขาก่อนกัน”
“เอาสิ ใครแพ้ต้องเลี้ยงอาหารมื้อเย็นคืนนี้” เซิ่งเคอยิ้มแล้วพูดคล้อยตาม
ไป๋มู่ชิงได้ยินว่าแข่ง ก็รีบพูดขึ้น “อย่าเลยดีกว่า? พวกคุณเป็นผู้ชายนี่”
“เอาแบบนี้แล้วกัน นับคะแนนผู้ชาย คะแนนผู้หญิงไม่นับ” ผู่เหลียนเหยาพูด
“ก็โอเคนะ” ไป๋ยิ่งอันพยักหน้า จากนั้นก็หันไปหาหนานกงเฉิน มองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น “เฉิน คุณเป็นพี่ใหญ่ ต้องชนะนะ”
“ต้องทำให้ดีที่สุด” หนานกงเฉินพูดกับเธออย่างเป็นห่วง “ตอนลงเขาต้องระวังความปลอดภัยด้วยนะ”
“รู้ พวกเธอก็ระวังความปลอดภัยด้วยนะ” ไป๋ยิ่งอันพอใจมาก หนานกงเฉินเป็นห่วงเธอมาก ถึงจะไม่หนาวไม่ร้อน แต่สามารถพูดเป็นห่วงเธอในยามจำเป็น เธอก็พอใจมากแล้ว
ข้อเสนอของผู่เหลียนเหยาดีมาก เธอในตอนนี้ ตั้งหน้าตั้งตารอคอยความสำเร็จของแผนการในไม่ช้า
หลินอันหนานดึงไป๋มู่ชิงมาข้างๆ พูดกำชับขึ้นข้างหูเธอ “ตอนลงเขาพยายามอยู่ห่างๆ ผู่เหลียนเหยาหน่อยนะ อีกอย่าง ระวังความปลอดภัยด้วย”
ถ้าใช่เพราะงานนี้ เขาคงไม่ทิ้งให้ไป๋มู่ชิงอยู่กับไป๋ยิ่งอันแน่นอน
“ไม่ต้องเป็นห่วง คนที่ผู่เหลียนเหยาจัดการคือไป๋ยิ่งอันไม่ใช่ฉัน ฉันปลอดภัยมาก” ไป๋มู่ชิงพูด
หลินอันหนานคิด “ถึงไป๋ยิ่งอันจะไม่ใช่คนดี แต่เธอไม่กล้าทำร้ายเธอ เธอนั่งกระเช้าลอยฟ้าไปกับเธอก็ได้”
“รู้แล้ว พวกเขารอคุณอยู่ รีบไปเถอะ” ไป๋มู่ชิงใช้คางชี้ไปที่ทุกคนที่อยู่ไม่ไกล หลินอันหนานถึงได้เดินไปหาฝูงชน
ในพริบตาเดียว ผู้ชายสามคนก็หายไปแล้ว
ผู้หญิงสามคนก็ลงจากภูเขาทีละคน ไป๋ยิ่งอันและไป๋มู่ชิงไม่ร่วมมือกัน ไม่มีการสื่อสารใดๆ อยู่แล้ว ผู่เหลียนเหยาในฐานะที่เป็นคนกลาง เดี๋ยวก็แกว่งตัวมาทางนี้ เดี๋ยวก็แกว่งตัวไปทางนั้น
เมื่อผ่านป่าหินผาไป ไป๋ยิ่งอันฉวยโอกาสตอนสองคนนั้นไม่สนใจ เดินอย่างรวดเร็วไปยังสถานีรถกระเช้า เพื่อนั่งรถกระเช้าลงเขา
ไป๋มู่ชิงกังวลว่าผู่เหลียนเหยาจะมีแผนการร้าย จงใจหลีกเลี่ยงเธอ เดินลงเขาเพียงลำพัง
ถึงแม้ภูเขาที่นี่จะสูงไปหน่อย แต่เธอไม่รู้สึกเหนื่อยเลยจริงๆ เธอกลับหมกมุ่นกับความรู้สึกเดินคนเดียวในป่า อยู่คนเดียว ได้ยินเสียงนกร้องไพเราะ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ความเงียบสงบแบบนี้ เธอไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว
จนกระทั่งสีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง อุณหภูมิเย็นลง เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองควรนั่งรถกระเช้าไฟฟ้าลงเขา
“สาวน้อย เดี๋ยวฝนจะตกแล้ว รีบนั่งรถลงเขากันดีกว่า กระเช้าไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายหนึ่งทุ่ม” นักเก็บสินค้าผู้ใจดีคนหนึ่งขณะที่รีบลงจากเขาก็เอ่ยเตือนไปด้วย
ไป๋มู่ชิงอึ้ง มองไปรอบๆ เดิมทีบนเขานี้ก็มีนักท่องเที่ยวไม่เยอะอยู่แล้วตอนนี้ว่างเปล่า เงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง มันปกคลุมไปด้วยเมฆดำจริงๆ ถึงขั้นมีฟ้าร้องเล็กน้อย
ถึงจะลงมาได้ครึ่งเขาแล้ว แต่ถ้าฝนตก เธอไม่มีร่มติดตัว นอกจากนี้ถนนลื่นบนภูเขามันก็อันตรายมาก จึงรีบไปสถานีรถกระเช้าที่ใกล้ที่สุด
เส้นทางบนภูเขามีความซับซ้อนมาก เธอเดินไปด้วย หาสถานีรถกระเช้าไปด้วย
ผู่เหลียนเหยามองนาฬิกาบนข้อมือ รู้สึกว่าใกล้แล้ว ก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรเบอร์หนานกงเฉิน
บนเขาไม่มีสัญญาณ เธอนับเวลา ตอนนี้หนานกงเฉินน่าจะมาถึงตีนเขาแล้ว โทรศัพท์น่าจะโทรติดสิ
อย่างที่คิดไว้ โทรศัพท์เขาโทรติด และไม่นานก็มีคนรับสาย
พอหนานกงเฉินรับสาย เธอพูดขึ้นด้วยเสียงกังวลทันที “พี่ แย่แล้ว พี่สะใภ้เธอไม่ได้นั่งรถกระเช้ามากับพวกฉัน ตอนนี้ฝนจะตกแล้ว เธอไม่ได้เอาร่มมาด้วย……”
“พี่สะใภ้คนไหน” หนานกงเฉินขัดเธอ
“พี่สะใภ้คนโต ทุกคนขึ้นภูเขาไปตามหาเธอหน่อย” ผู่เหลียนเหยาสะอึกก่อนพูดขึ้น
หนานกงเฉินพยักหน้า “เธอลงไปถนนเส้นไหน? ”
“น่าจะเป็นถนนที่เราเพิ่งขึ้นมานะ แต่ท้องฟ้ามืดแล้ว ฉันกลัวว่าเธอหาทางลงเขาไม่เจอ โทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณอีก ทำยังไงดีอ่ะ? ”
“ไม่ต้องกังวล ฉันจะขึ้นไปดู” หนานกงเฉินวางสายไป
ผู่เหลียนเหยาเก็บโทรศัพท์ แค่นหัวเราะแล้วกลับไปที่สถานีกระเช้ารถไฟฟ้า เพราะเป็นกระเช้าไฟฟ้าไม่กี่คันสุดท้าย คนนั่งน้อยมาก รอสักพักหนึ่ง เธอก็เห็นไป๋มู่ชิงลงมาจากรถกระเช้าคันสุดท้าย
เธอกัดปาก รีบเข้าไปหาแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ แย่แล้ว คุณชายใหญ่อยู่บนเขาตลอดเลยยังไม่ได้ลงมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“เกิดอะไรขึ้น? ” ไป๋มู่ชิงตกใจทันที “คุณชายเฉินเขาไม่ได้ลงเขาไปกับอันหนานและคุณชายเซิ่งเหรอ? ”
“ไม่รู้อ่ะ พวกเขาสองคนขึ้นภูเขาไปตามหาแล้ว”
ไป๋มู่ชิงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรเบอร์หนานกงเฉิน โทรศัพท์แจ้งว่าไม่สามารถติดต่อได้ น่าจะไม่มีสัญญาณ
ผู่เหลียนเหยายังคงกังวลอยู่ข้างๆ “ทำยังไงดี พี่เป็นหวัดนิดๆ อยู่แล้วด้วย เดี๋ยวฝนจะตกอีก ถ้าตากฝนเป็นไข้ หาทางลงเขาไม่ได้คงแย่มาก เขาต้องป่วยแน่ๆ ”
ไป๋มู่ชิงเก็บโทรศัพท์ หันตัววิ่งไปบนทางขึ้นเขา
“พี่สะใภ้ พี่รอฉันก่อน ฉันจะไปกับพี่ด้วย!” ผู่เหลียนเหยาตะโกนตามหลังเธอไม่กี่ที เห็นเธอเดินไปไกลแล้วถึงหยุด รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากเธออีกครั้ง
เหลือไป๋ยิ่งอันยังจัดการไม่ได้ ผู่เหลียนเหยาถอนหายใจเบาๆ เริ่มมองไปรอบๆ เพื่อหาร่างไป๋ยิ่งอัน เธอมองหาไป๋ยิ่งอั้นไปด้วยและโทรหาเซิ่งเคอไปด้วย
หลังจากโทรติดแล้ว ทางนั้นก็มีเสียงห่วงใยของเซิ่งเคอดังขึ้น “เกิดอะไรขึ้น? ที่รัก”
“นายอยู่ไหน? ทำไมไม่เห็นนาย? ” เธอมองไปรอบๆ แล้วถามขึ้น
เซิ่งเคอพึมพำอย่างประหลาดใจ “ฉันจะกลับถึงรีสอร์ตแล้ว!”
“หมายความว่าไง? ทำไมไม่รอกลับไปกับฉัน? ”
“ฉันคิดว่าเธอนั่งกระเช้าไฟฟ้าลงมาแล้วจะกลับรีสอร์ตเอง เธอรอแป๊บ ฉันจะกลับไปรับเธอ” เซิ่งเคอพูด
ผู่เหลียนเหยากำลังตอบโอเค หางตาก็เห็นไป๋ยิ่งอันไม่รู้โผล่มาจากไหน กำลังเดินไปที่จอดรถ เธอเปลี่ยนน้ำเสียงแล้วพูดขึ้น “ไม่ต้อง ฉันจะกลับไปกับพวกพี่สะใภ้”
“งั้นก็ได้ พวกเธอรีบๆ ลงมา เดี๋ยวฝนตกห่าใหญ่เดินทางบนถนนจะไม่สะดวก”
“อืม ฉันรู้แล้ว บาย” เธอจูบทางอากาศให้เซิ่งเคออย่างรักใคร่ วางสายแล้วเดินไปที่ลานจอดรถ
ไป๋ยิ่งอันนั่งเบาะคนขับเพิ่งจะสตาร์ทรถ ก็เห็นผู่เหลียนเหยากำลังวิ่งมาทางตน จึงชะโงกศีรษะยิ้มให้เธอเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “เหลียนเหยา เธอก็ยังไม่ไปเหรอ? ฉันคิดว่าเหลือฉันคนเดียวซะอีก”
ผู่เหลียนเหยาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรีบร้อน “แย่แล้ว พี่สะใภ้ พี่หายตัวไปแล้ว……”
“เกิดอะไรขึ้น? ” ไป๋ยิ่งอันทำหน้าเครียด ผลักประตูรถแล้วก้าวลงมา
“ไม่รู้อ่า ทุกคนลงมาหมดแล้ว เหลือแค่เขายังไม่ลงมา” ผู่เหลียนเหยากระทืบเท้า ‘อย่างร้อนใจ’ “ทำยังไงดี? เดี๋ยวฝนจะตกแล้วด้วย พี่เขาไม่ได้เอาร่มติดตัวไป ถ้าพี่เขาเปียกฝนเป็นหวัด ต้องป่วยแน่ๆ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา บางทีเขาอาจจะติดอยู่ในภูเขา? ”
“จะเป็นแบบนี้ได้ยังไง? ” ไป๋ยิ่งอันน้ำตาไหลตามเช่นกัน “แล้วพวกเซิ่งเคอล่ะ? พวกเขาทำไมไม่ตามคุณชายใหญ่ลงมา”
“พวกเขาลงมากันตั้งนานแล้ว ตอนนี้กลับขึ้นภูเขาไปตามหาเขาอีกครั้ง”
“ไม่ได้แล้ว คุณชายใหญ่เขาต้องเจออันตราย ฉันต้องไปตามเขากลับมา……” ไป๋ยิ่งอันเช็ดน้ำตาในดวงตา หันตัวและวิ่งเข้าไปในป่า
เห็นร่างเธอค่อยๆ หายไปที่ทางเข้า ผู่เหลียนเหยามุมปากก็วาดโค้ง เผยรอยยิ้มพึงพอใจ ในที่สุดทุกอย่างก็สำเร็จ!
ในใจคิด คืนนี้ขอโทษที่ต้องให้พวกเธอค้างที่นี่หนึ่งคืนนะ พรุ่งนี้จะมีชีวิตใหม่รอให้พวกเธอเผชิญ
เธอหันตัวกลับมา นั่งภายในรถแทนที่ไป๋ยิ่งอัน จากนั้นก็ปิดประตูรถ
ไป๋ยิ่งอันซ่อนตัวอยู่ที่ทางขึ้นเขา เห็นผู่เหลียนเหยาขึ้นรถไปแล้ว หัวรถค่อยๆ เลี้ยวไปทางลงเขา มุมปากวาดโค้งเช่นกัน เผยยิ้มเล็กน้อยที่ประสบความสำเร็จ
ผู่เหลียนเหยาวางแผนจะขับรถไป เพราะเธอเดาว่าไป๋ยิ่งอันคงไม่มีโอกาสขับรถคันนี้อีกแล้ว จนกระทั่งรถเลี้ยวจากลานจอดรถสู่ถนนลงเขา เธอตกใจมากเพราะรถมีบางอย่างผิดปกติ
รถไม่สามารถเบรกได้ สีหน้าเธอตื่นตระหนกทันที เธอกรีดร้องอย่างสยองเมื่อความเร็วรถเพิ่มขึ้น
จนถึงตอนนี้ เธอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองโดนหลอก โดนไป๋ยิ่งอันหลอก!
“นังชั้นต่ำบัดซบ แกคิดว่าฉันจะหลงกลแกเหรอ? คิดว่าไป๋ยิ่งอันอย่างฉันจะโง่ให้แกหลอกจริงๆ หรือไง? ” ไป๋ยิ่งอันหัวเราะเยาะไปในทิศทางที่รถหายไป
ผู่เหลียนเหยา เธอประเมินความรู้สึกที่เธอมีตอนหนานกงเฉินสูงเกินไป ประเมินความกล้าหาญเธอมากเกินไป แม้ว่าหนานกงเฉินจะหายตัวไปจริงๆ ท้องฟ้ามืดมีฟ้าคะนอง มองทางก็ไม่ชัด เธอจะกล้าขึ้นเขาเพื่อตามหาเขาที่ไหนกัน?
ถึงเธอไม่รู้จุดประสงค์ที่ผู่เหลียนเหยาหลอกให้เธอขึ้นเขา แต่เห็นได้ชัดมาก ว่านี่คือแผนร้าย โชคดีที่……ผู้หญิงคนนี้โดนเธอหลอกเสียก่อน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง สงครามในวันนี้ ไป๋ยิ่งอันคนอย่างเธอชนะ!
เธอแทบจะรอไม่ไหวโทรหาสวีหย่าหรง สวีหย่าหรงในโทรศัพท์กังวลพอๆ กับเธอถามขึ้น “เรื่องดำเนินเป็นยังไงบ้าง? ”
“ราบรื่นมาก” ไป๋ยิ่งอันยิ้ม
“งั้นก็ดี ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง? ”
“ไม่รู้ เดาว่าตายแล้วมั้ง” ไป๋ยิ่งอันยิ้มอย่างภูมิใจแล้วพูดขึ้น “แม่ แม่เลือกสถานที่ได้ดีจริงๆ ถนนภูเขาที่นี่เหมาะส่งเธอไปบนถนนมาก”
“ชู่……” สวีหย่าหรงรีบห้ามเธอ “เบาหน่อย ไม่ต้องพูดแล้ว ลูกดูแลตัวเองให้ดี เราจะคุยกันภายหลัง”
ไป๋ยิ่งอันไม่สามารถซ่อนความดีใจของตัวเองได้ ยังคงพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “แม่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่มีใครมาป่วนฉันได้อีกแล้ว ในที่สุดฉันก็สงบสักที”
“อืม แม่รู้แล้ว ในที่สุดเราก็ผ่านมันมาได้” สวีหย่าหรงในโทรศัพท์ก็ตื่นเต้นเช่นกัน “เราหวาดผวากันมานานแล้ว ตอนนี้นอนหลับสบายสักที”
ตอนนี้ฝนตกลงมาจากท้องฟ้า ไป๋ยิ่งอันลูบศีรษะ “แม่ ฉันไม่คุยกับแม่แล้วนะ ฉันต้องรีบกลับไปที่รีสอร์ต ดึกกว่านี้จะไม่มีรถ”
“โอเค รีบกลับไปเถอะ ระวังตัวด้วยนะ”
“รู้แล้ว ฉันจะระวัง”
ไป๋ยิ่งอันวางสายไป หายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปทางประตูใหญ่
ฝนยิ่งตกยิ่งหนัก เธอรีบเดินไปที่รถแท็กซี่คันหนึ่งที่กำลังรอผู้โดยสาร เปิดประตูรถเข้าไปนั่งแล้วพูดกับลุงคนขับรถ “รบกวนไปที่รีสอร์ตค่ะ”
คุณลุงยักไหล่พร้อมใบหน้าหมดหนทาง “คุณหนู ฉันจะบอกข่าวน่าหดหู่ใจ มีอุบัติเหตุรถยนต์บนโค้กหักศอกข้างหน้าหนึ่งกิโลเมตร เรายังออกไปไม่ได้สักพัก”
ไป๋ยิ่งอันดีใจ หันหน้าไปหาเขา แต่ใบหน้ากลับประหลาดใจ “คุณรู้ได้ยังไง? ”
“เพื่อร่วมงานที่เพิ่งลงไปจากที่นี่บอกมา ก็รถติดอยู่ตรงนั้น”
“หะ? อุบัติเหตุร้ายแรงไหมคะ? มีคนตายหรือเปล่า? ”
“ไม่รู้ ได้ยินว่าร้ายแรงมาก รถคว่ำทั้งคันแล้วเกิดไฟลุกไหม้ด้วย”
“โอ้……ร้ายแรงขนาดนี้เชียว คนขับน่าจะตาย” ไป๋ยิ่งอันพึมพำ ทำหน้าเห็นอกเห็นใจ
ไป๋มู่ชิงขนตาสั่นถี่ขึ้น ศีรษะหมุนอย่างกระสับกระส่าย ราวกับกำลังอดทนทรมานจากความเจ็บปวดอะไรบางอย่าง
“มู่ชิง เธอไม่เป็นไรใช่ไหม? ” หลินอันหนานจับฝ่ามือที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของเธอ
ไป๋มู่ชิงหลังจากหายใจหอบไม่กี่ครั้ง ก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที “คุณชายใหญ่……!”
ในเสียงกรีดร้อง เธอลืมตา ขณะที่เธอเห็นความคุ้นเคยของห้องและหลินอันหนานตรงหน้า สมองก็เชื่องช้านิดหน่อยไปชั่วขณะหนึ่ง
“มู่ชิง เธอไม่ต้องกลัว ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” หลินอันหนานลูบเส้นผมเธอแล้วพูดปลอบ
ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ค่อยๆ เบนสายตาไปที่เขา แต่คำถามที่ถามออกมากลับเป็น “คุณชายใหญ่ล่ะ? เขาเป็นยังไงบ้าง? เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ” จู่ๆ เธอก็สะเทือนอารมณ์ขึ้นมา สองมือจับแขนเขา “เขาเป็นอะไรหรือเปล่า? คุณรีบบอกฉันสิ!”
เขาตากฝน เขาอาการกำเริบแต่ไม่มียา……เขาต้องเป็นอะไรแน่ๆ !
ปฏิกิริยาของเธอทำให้หลินอันหนานเจ็บปวดหัวใจ อย่างไรแล้วก็ไม่คิดเลยว่าหลังจากตื่นมาคนแรกที่เธอนึกถึงไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นหนานกงเฉิน!
เขาหายใจเบาๆ เอาฝ่ามือที่บาดเจ็บของเธอออกจากแขนตน แล้วพูดขึ้น “เธอไม่ต้องเป็นห่วง เขาไม่เป็นอะไร ระวังอย่าให้โดนแผล”
ไป๋มู่ชิงไม่สนใจข้อมือของตัวเอง จ้องมองเขาแล้วถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “จริงเหรอ? เขาไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ? ”
หลินอันหนานพยักหน้าอย่างใจเย็น
ในที่สุดไป๋ยิ่งอันที่อยู่ข้างๆ ก็ทนไม่ไหวพุ่งเข้าหา หยิบกระเป๋าบนโต๊ะฟาดศีรษะเธอ แล้วด่าอย่างโกรธเคือง “นังบัดซบ! แกยังไม่จบอีกเหรอ? หนานกงเฉินจะเป็นอะไรมันเกี่ยวอะไรกับแก ต้องให้แกถามไหม? สำเหนียกสถานะตัวเองบ้างนะ!”
เธอคว้าแจกันบนโต๊ะแล้วจะฟาดอีกครั้ง หลินอันหนานยืนขึ้นจากเตียงทันที บีบคอเธอแล้วขู่อย่างโหดเหี้ยม “เธอกล้าฟาดดูไหมล่ะ? ฉันจะพาเธอไปหาหนานกงเฉินเดี๋ยวนี้!”
ไป๋ยิ่งอันตกตะลึงกับความเย็นชาในดวงตาเขา ท่าทีอ่อนลงในพริบตาเดียว
เธอวางแจกันกลับไปที่โต๊ะ หายใจเข้าลึกๆ จ้องมองไป๋มู่ชิงที่เงียบงัน “เอาล่ะ ฉันจะปล่อยเธอไปก่อน หลังจากเรื่องนี้ผ่านไปฉัน……ฉันจะค่อยๆ คิดบัญชีกับแก”
ตอนที่พูดประโยคนี้ เธอแอบเหลือบมองหลินอันหนาน พูดอย่างค่อนข้างอ่อนแรงนิดหน่อย
ไป๋มู่ชิงไม่มีอารมณ์ดูเธอบ้าคลั่ง เธอพยายามนึกถึงเรื่องทั้งหมดเมื่อคืน เมื่อคืนหนานกงเฉินป่วย เธอไปช่วยเหลือ จากนั้นก็โดนเขากัดข้อมือและถูกเขาผลักติดผนังอย่างแรง และจากนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรเลย
เธอยกข้อมือที่บาดเจ็บของตัวเองโดยไม่รู้ตัว มันถูกพันด้วยผ้าก๊อซเป็นอย่างดี มันไม่เจ็บปวดขนาดนั้นแล้ว
“เธอพูดมา เมื่อคืนระหว่างพวกเธอมันเกิดอะไรขึ้น? หนานกงเฉินค้นพบตัวตนของเธอหรือยัง? ” ไป๋ยิ่งอันที่ใจเย็นขึ้นนิดหน่อยแล้วก็นึกถึงเรื่องสำคัญของการมาเที่ยวครั้งนี้ เขาจ้องมองเธออย่างขมขื่นแล้วถามขึ้น
ปัญหานี้คือสิ่งที่ไป๋มู่ชิงก็กำลังสับสน เธอยกข้อมือเธออีกข้างขึ้นมา ยังดีที่มีเทปซิลิโคนอยู่ แหวนก็ยังอยู่ หนานกงเฉินน่าจะยังไม่รู้
เดินทางกับคนที่หนานกงรัก แน่นอนว่าเธอไม่สามารถสวมเสื้อแขนยาวเพื่อปกปิดรอยฟันบนข้อมือได้เหมือนเคยได้ โชคดีที่เทปซิลิโคนนี้ใกล้เคียงกับสีผิวของเธอมาก ถ้าไม่ตั้งใจดูจะมองไม่ออกเลย
เธอวางฝ่ามือลงแล้วพูดขึ้นเบาๆ “ตอนที่ฉันเจอเขา เขากำลังป่วยอยู่ พอฉันพยุงเขาไปหลบฝนที่หน้าผาจู่ๆ เขาก็กระสับกระส่ายขึ้นมา กัดข้อมือฉัน แล้วผลักฉันเข้ากับผนังหิน จากนั้นฉันก็เป็นลมไป”
ไป๋มู่ชิงพูดอย่างไม่กลัวหรือตื่นตระหนกเลยสักนิด แต่ไป๋ยิ่งอันที่ฟังอย่างเดียวกลับขนหัวลุกขึ้นมา เมื่อนึกถึงหนานกงเฉินอาการกำเริบก็กลัว
“จากนั้นเกิดอะไรขึ้น? ” ไป๋มู่ชิงเงยหน้ามองหลินอันหนาน
พวกเขาลงจากเขาอย่างไร ถูกค้นพบเมื่อไร เธอไม่รู้เลยสักนิดจริงๆ
“ต่อมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาเจอพวกเธอ จากนั้นก็ติดต่อพวกเรามา” หลินอันหนานพูด
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ไม่พูดอะไร
ไป๋ยิ่งอันเหลือบมองข้อมือเธอแล้วถามอย่างไม่แน่ใจ “เธอแน่ใจนะว่าหนานกงเฉินไม่ค้นพบอะไร? ”
“ฉันไม่แน่ใจ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า “แต่ฉันรู้ว่าตอนเขามีอาการป่วยแทบจะไม่มีสติ ก็เลยทำร้ายคนสุ่มสี่สุ่มห้า ระหว่างที่เจ็บปวดแบบนั้น ฉันคิดว่าเขาคงไม่สงสัยอะไร”
“งั้นก็ดี” ไป๋ยิ่งอันพยักหน้าอย่างไว้วางใจ “ฉันกลับไปดูเขาก่อนนะ”
ไป๋ยิ่งอันกลับห้องตัวเองไป หนานกงเฉินก็ตื่นแล้ว กำลังนั่งพิงหัวเตียงใช้รีโมตคอนโทรลดูโทรทัศน์
ไป๋ยิ่งอันอึ้งไป รีบเดินไปข้างหน้ามองสำรวจเขาแล้วถามอย่างเป็นห่วง “คุณชายใหญ่คุณตื่นตั้งแต่เมื่อไร? เป็นยังไงบ้าง? ร่างกายยังสบายดีไหม? ”
หนานกงเฉินหันหน้ามามองเธอ มีความไม่เข้าใจในดวงตา
ในใจไป๋ยิ่งอันตื่นตระหนก ในใจคิดว่าเขาค้นพบแล้วใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นทำไมใช้สายตาห่างเหินแบบนี้มองเธอ?
เธออ้าปาก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง
แต่ตอนนี้หนานกงเฉินกลับยิ้มเล็กน้อยให้เธอ ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนมากเหลือเกินถามเธอ “เมื่อกี้ไปไหนมา? ”
เห็นรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าเขา ไป๋ยิ่งอันก็โล่งอก คิ้ววาดโค้งแล้วยิ้มให้เขา “ฉันเห็นคุณหลับสนิท เลยไปดูมู่ชิงสักหน่อย ยังไงเมื่อคืนเธอก็เป็นคนช่วยคุณไว้”
“เธอเป็นยังไงบ้าง? ” หนานกงเฉินยังคงยิ้มอย่างไม่มีพิษมีภัย
“เธอก็เพิ่งตื่นเหมือนกัน ข้อมือโดนคุณกัดเป็นแผล แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก” ไป๋ยิ่งอันเดินไปที่ตู้กดน้ำแล้วรินน้ำให้เขา ป้อนไปที่ริมฝีปากเขาอย่างเอาใจใส่แล้วพูดขึ้น “เมื่อคืนได้ยินว่าคุณไม่ได้ลงภูเขา พวกเราตกใจมาก ทุกคนขึ้นเขาไปตามหาด้วยกัน ไม่คิดว่าไป๋มู่ชิงจะเจอคุณ”
“งั้นเหรอ? ”
“อืม โชคดีที่พวกคุณสองคนไม่เป็นอะไร” ไป๋ยิ่งอันวางสองมือบนคอเขา พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปตอนเราออกไปไหนห้ามแยกจากกันแล้วนะ อันตรายมากจริงๆ ”
“อืม” หนานกงเฉินยิ้มบางๆ “มันจะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว”
ไป๋ยิ่งอันโน้มตัวไปจูบปากเขาอย่างอารมณ์ดี “ฉันจะไปบอกพวกคุณย่าว่าคุณตื่นแล้ว พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวล”
“ไปเถอะ” หนานกงเฉินปล่อยเธอไป
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทุกคนก็ไม่มีอารมณ์จะเที่ยวแล้ว แต่ละคนนั่งในห้องโถงรับแขกชั้นหนึ่งด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
หลินเต้าหรานสงสัยมาตลอดว่าอาการป่วยของหนานกงเฉินร้ายแรงแค่ไหน มองไปรอบๆ ทุกคนแล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “เฉินอาการกำเริบแบบนี้บ่อยไหม? ”
คุณหญิงหลินรีบใช้ศอกกระแทกแขนเธอหนึ่งที แล้วขยิบตาให้เขา
อาการป่วยของหนานกงเฉินเป็นสิ่งต้องห้ามของคุณผู้หญิงอยู่เสมอ และไม่มีใครกล้าถามมาก่อน
อย่างที่คิดไว้ สีหน้าคุณผู้หญิงขุ่นมัวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ
ยังดีที่ตอนนี้ ไป๋ยิ่งอันลงมาจากข้างบน บอกทุกคนว่าหนานกงเฉินตื่นแล้ว เมื่อได้ยินว่าหนานกงเฉินตื่นแล้วคุณผู้หญิงก็โล่งอกในที่สุด
ทุกครั้งเธอกังวลมาก เพราะหนานกงเฉินอาการกำเริบหนึ่งครั้งก็อันตรายมากขึ้นหนึ่งครั้ง และเป็นไปได้อย่างมากว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกระหว่างอาการกำเริบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุสามสิบปีขึ้นไป ทุกครั้งที่หนานกงเฉินอาการกำเริบล้วนเป็นความทรมานสำหรับเธอ
คุณผู้หญิงนั่งหน้าเตียงหนานกงเฉิน มองสังเกตเขาด้วยความปวดใจ “ทริปดีๆ จบลงแบบนี้ จริงๆ เลยนะ”
“ขอโทษครับคุณย่า ที่ทำให้คุณกังวล” หนานกงเฉินกวาดตามองทุกคนแล้วพูดขึ้น “ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถอะครับ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...