บทที่565 สิ้นสุดการแสดง
ความจริงแล้วในสมองตัวน้อยของเขายังคงคิดอยู่ว่าจะไม่ขึ้นไปเผชิญหน้ากับผู้คนบทเวทีนั้นได้อย่างไร โดยเฉพาะแม่ที่น่ารักสวยงามของเขาและพ่อนกหน้าตายของเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยางหยางเอียงตัวมือข้างหนึ่งพิงอยู่ที่กล่องเก็บเครื่องเสียงนั้น มืออีกข้างดึงกางเกงเฉิงเฉิงแล้วหันไปมองปุ่มสีแดงนั้น “เฉิงเฉิงนายว่า ถ้าเราทำให้ปุ่มสีแดงนี้ร้องดังขึ้น แล้วผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไรเหรอ”
เฉิงเฉิงก้มหน้าก้มตาเล่นแท็บเล็ตอย่างไม่สนใจคำพูดของเขา
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็มีเส้นสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าผาก เขาอยากเปิดกะโหลกของหยางหยางออกมาดูมาก อยากรู้ว่าข้างในนั้นมันมีอะไรอยู่
ทุกคนกำลังจำบทพูดของตัวเองอย่างตื่นเต้น เหมือนกับทหารที่กำลังรีบเตรียมปืนก่อนเข้าสนามรบ
ส่วนพี่ใหญ่คนนี้ไม่สนใจปืน กลับมีความคิดชั่วร้ายที่จะทำให้สัญญาณไฟฉุกเฉินดังขึ้น
เฉิงเฉิงมองดูนาฬิกาบนแท็บเล็ต ยังไม่ถึงเวลาแสดง ดังนั้นเขาจึงเก็บแท็บเล็ตแล้วกระโดดลงจากกล่องเก็บเครื่องเสียง จากนั้นก็เดินไปหาหยางหยางแล้วเอามือแตะไหล่เขาไว้ “อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร นายก็ลองทำดูสิ แต่เรื่องบางเรื่องอยากเตือนนายไว้ก่อน ถึงเวลานั้นนายอย่ามารบกวนคุณแม่กับพ่อปู้ฝันส่งกับข้าวไปให้นายในคุกล่ะ”
หลังจากเฉิงเฉิงพูดเสร็จก็เขาเอามือออกจากไหล่หยางหยางและหันไปมองเพื่อน ๆ ที่กำลังฝึกซ้อมอย่างตื่นเต้นอยู่ จากนั้นก็เดินไปในห้องแต่งตัว
“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย หรือว่าเขาโกหกเราอยู่......” หยางหยางมองดูเฉิงเฉิงเดินจากไปแล้วนั่งพึมพำอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
สีหน้าของเขาเริ่มเครียด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ล้มเลิกความคิดชั่วร้ายนั้นไป ความจริงแล้วเขาก็แค่ไม่อยากแสดงต่อหน้าผู้คนมากมาย ทำไมถึงยากขนาดนี้นะ......
ย้อนคิดไปถึงครั้งก่อน มันก็แค่เหมือนความรักทำให้คนตาบอด เพราะผู้หญิงคนหนึ่งเขาต้องวิ่งขึ้นไปรับรางวัลแทนเฉิงเฉิง แล้วยังพูดจาไว้เยอะแยะ
แต่ครั้งนี้มันต่างกันจริง ๆ ......ไม่สิ แรงจูงใจยังคงเหมือนเดิม เพราะสาวสวยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าครั้งนี้เล่นใหญ่ไป ต้องแสดงละคร แถมยังต้องท่องบทพูดอีก
เรื่องนี้มันไม่ง่ายเหมือนที่คิดไว้จริง ๆ ......
ความจริงแล้ว เฉิงเฉิงก็แค่พูดขู่หยางหยางเท่านั้นเอง แค่ตั้งใจอยากให้หยางหยางตั้งใจท่องบทตัวเอง อย่าไปคิดฟุ้งซ้าน อายุน้อย ๆ แค่นี้ จะเข้าคุกเข้าตารางได้ไงกัน
ดูเหมือนว่า หยางหยางเริ่มรู้ตัวว่าตอนนี้เขาควรทำอะไรแล้ว จากนั้นเขาก็ดึงสคริปต์ออกจากกระเป๋ากางเกงตัวเองออกมา
ถึงขั้นนี้แล้ว คงสายเกินจะแก้ไข เขาทำได้เพียงเผชิญกับความจริง และต่อไปอย่าปล่อยให้ความรักบังตาอีก
***
“แหม......หยางหยาง นายมาอยู่นี่เองเหรอ” เมื่อหยางหยางเริ่มตัดสินใจจะอ่านสคริปต์ จ้าวจิ้งอี๋ก็วิ่งตรงเข้ามาหาเขา
หยางหยางเงยหน้าขึ้น แล้วเห็นสาวสวยข้างหน้าเขาคือจ้าวจิ้งอี๋ไม่ใช่หรือ
เขาไม่เชื่อสายตาตัวเอง แล้วพยายามขยี้ตาเพื่อมองให้ชัดเจนว่าคือเธอตัวจริง
แม้ว่าจ้าวจิ้งอี๋จะเป็นดาวในห้องเรียน แต่ปกติมาโรงเรียนแล้วเธอใส่ชุดนักเรียนไว้ ซึ่งมันทำให้เธอไม่ได้มีความแตกต่างจากเพื่อนนักเรียนคนอื่นมากนัก
แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะวันนี้เธอต้องขึ้นไปแสดง จึงแต่งตัวเป็นพิเศษ
สิ่งนี้ได้ทำให้ความรู้สึกของหยางหยางที่มีต่อเธอเริ่มเปลี่ยน ความรู้สึกก็เป็นส่วนของความรู้สึก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหวอะไรขนาดนั้น
จ้าวจิ้งอี๋เอียงหัวมองดูหยางหยางพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนหวานบนใบหน้าของเธอ “ฮิฮิ หยางหยางนายเป็นอะไรไปเหรอ ตอนนี้กลายเป็นคนขยันแล้วเหรอ เพิ่งเคยเห็นจริง ๆ เลยนะเนี่ย”
หยางหยางจึงเก็บสครีปต์นั้น แล้วมองหน้าเธอไว้ “เธอมาหาฉันมีธุระอะไร”
จ้าวจิ้งอี๋มองไปรอบ ๆ แล้วรู้สึกว่าเฉิงเฉิงไม่ได้อยู่ด้วย เธอจึงถามอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า “แล้วเป่หมิงซิเฉิงไปไหนละ”
ที่แท้จะมาหาเฉิงเฉิงนี่เอง ดูสีหน้าเธอเหม่อลอยขนาดนี้ แฮะ ๆ หรือว่ามีอะไรอยากคุยกับเขากันแน่
หยางหยางขี้ไปทางห้องแต่งตัว “เขาเพิ่งเดินเข้าไป เธอหาเขามีเรื่องอะไรรึเปล่า”
จ้าวจิ้งอี๋ยิ้มอย่างมีเลศนัย ความจริงก็ไม่มีธุระสำคัญอะไรหรอก แค่อยากเจอหน้าเขาก็เท่านั้น
เมื่อพูดเสร็จ มือน้อย ๆ ของเธอก็หยิบลูกอมช็อคโกแลตออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้หยางหยาง “นี่เป็นช็อคโกแลตดำที่คุณพ่อฉันซื้อมาให้จากประเทศฝรั่งเศสเลยนะ กินแล้วจะบำรุงสมอง ทำให้ความจำดีขึ้นน่ะ ฉันคิดว่านายคงต้องการมัน ฉันไปหาเฉิงเฉิงก่อนละ โชคดีนะ”
เมื่อจ้าวจิ้งอี๋พูดจบก็ได้วิ่งไปทางห้องแต่งตัว
หยางหยางแกะช็อคโกแลตนั้นแล้วยัดเข้าปากของเขาเลย ความรู้สึกหอมนุ่มนั้นทำให้เขาพยักหน้าด้วยความอร่อย ตั้งแต่กลับมาจากอเมริกากับคุณแม่ก็ไม่เคยได้กินช็อคโกแลตรสชาติดั้งเดิมแบบนี้อีกเลย
*
การแสดงจบลงด้วยเสียงปรบมือจากผู้ชมอีกหนึ่งรายการ
เมื่อเห็นรายการบนเมนูค่อย ๆ จบไปทีละรายการ กู้ฮอนเริ่มรู้สึกนั่งไม่อยู่กับที่แล้ว เธออยากเข้าไปหลังเวทีนั้นแล้วให้กำลังใจกับลูก ๆ ด้วยตัวเองจนเหลือทนแล้ว
เธอแอบหันหน้าไปมองเป่หมิงโม่อีกครั้ง
ก็เห็นเป่หมิงโม่ยังคงนั่งหน้าตายเหมือนเดิมอยู่กับที่ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากรูปปั้นเลย
แม้ว่าครูใหญ่จะพยายามคุยกับเขาในสองรายการแสดงก่อนหน้านั้น แต่สิ่งที่ได้การตอบสนองจากเป่หมิงโม่ก็คือสีหน้าที่เฉยเมยและเย็นชาไร้อารมณ์
ครูใหญ่ก็เงียบลงหลังจากที่เห็นว่าเป่หมิงโม่ไม่อยากสนใจเขาเลย
โอ้ย......ทำไมถึงรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่กู้ฮอนก็ไม่สามารถอธิบายได้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร
สมน้ำหน้า ผลลัพธ์คนชอบขี้เก๊กก็งี้แหล่ะ
เป่หมิงโม่หันหน้ามามองกู้ฮอนแล้วคิ้วชนกัน “มองพอแล้วยัง”
ทันทีที่เขาพูด กู้ฮอนก็รีบหันกลับไปอย่างรวดเร็ว
เป่หมิงโม่เห็นปฏิกิริยานั้นของกู้ฮอน เขาจึงค่อย ๆ โค้งตัวแล้วเอาปากเข้าใกล้หูเธอ “ถ้ายังไม่พอ เดี๋ยวผมจะให้คุณมองจนเบื่อเลย”
ลมปากของเขาสัมผัสหูของกู้ฮอน จนเธอต้องรู้สึกขนลุกทั่วร่างกายเลย
กู้ฮอนรู้สึกใจเต้นรัวอีกครั้ง เพราะคำพูดของเป่หมิงโม่ที่ช่างไม่รู้จักเลือกสถานที่และไม่ดูสถานะของตัวเองซะเลย
เมื่อกู้ฮอนสงบอารมณ์แล้ว ก็ชักสีหน้าใส่ “ที่มาร่วมงานวันนี้คุณมาในนามผู้ปกครองของเด็ก ๆ นะ ไม่ได้มาออกอีเวนท์ในนามของประธานบริษัท ดูคุณสิ สงสัยถูกคนชมเยอะเกินไป ใส่แว่นดำเก๊กอยู่ตั้งแต่งานเริ่มจนจบ แถมยังนั่งอยู่นิ่ง ๆ ไม่ปรบมือให้การแสดงของเขาสักหน่อย ไม่มีมารยาทเลยจริง ๆ ฉันว่าคุณไม่ได้ตั้งใจมาดูการแสดงมากกว่า”
ดูเหมือนว่า สิงโตตัวน้อยในร่างของกู้ฮอนเริ่มผงาดอีกครั้ง เป่หมิงโม่ทำหน้าสงสัย “ผมไม่เหมือนมาดูการแสดง แล้วเหมือนอะไรล่ะ”
“ฉันคิดว่าคุณเหมือนมาร่วมงานศพมากกว่านะ”
***
เป็นครั้งแรงที่เป่หมิงโม่ได้ยินคนพูดถึงตัวเองว่า มาร่วมงานศพในงานแบบนี้
อดไม่ได้ที่จะตกใจกับคำพูดเธอ
มันรู้สึกใหม่มา ที่ได้ยินคำวิจารณ์จากกู้ฮอนแบบนี้ แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกโกรธเลย
แน่นอนว่า มีเพียงกู้ฮอนคนเดียวที่กล้าต่อว่าเขาแบบนี้ คงไม่มีใครหน้าไหนกล้าพูดอีกแล้ว
“ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ทำงานกับหยินปู้ฝันแล้วกลายเป็นคนปากจัดขนาดนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าควรมีความสุขหรือควรเศร้าเลยจริง ๆ ” คำพูดของเป่หมิงโม่ยังคงเย็นชาและประชดประชัน
“เหอะ คุณจะสุขหรือจะทุกข์มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันอะไรล่ะ หลังจากคืนนี้ สัญญาของเราก็จะหมด ถึงเวลาแล้วต่างคนต่างไป ต่างคนต่างใช้ชีวิตตัวเอง” คำพูดของกู้ฮอนเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ทับอยู่ในใจเป่หมิงโม่
ถูกต้องแล้ว เหลือเวลาเพียงไม่ถึงสิบสองชั่วโมง ไม่คิดเลยว่ะเวลาหนึ่งเดือนมันจะผ่านพ้นไปได้เร็วขนาดนี้ มันเร็วเกินไปจนเขาต้องรู้สึกคิดถึงวันวาน เร็วเกินกว่าเขาจะรับจุดจบแบบนี้ได้
เป่หมิงโม่เริ่มรู้สึกเศร้า
ณ ขณะนี้ พนักงานได้จัดเตรียมฉากบนเวทีเรียบร้อยแล้ว
เหล่านักแสดงตัวน้อยก็ได้ประจำที่ของตัวเองหลังเวทีเพื่อรอการแสดงนี้เริ่มแล้ว
ตามด้วยไฟในฮอลล์นั้นค่อย ๆ หรี่ลงอีกครั้ง เสียงพูดคุยของท่านผู้ชมก็ค่อย ๆ เงียบลง
ลำแสงสีขาวได้ส่องเข้ามายังผ้าม่านมืดหน้าเวที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เดิมพันรักยัยตัวแสบ