เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊ นิยาย บท 113

เซียวชุ่นลังเล และในที่สุดก็ตัดสินใจ : “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เรื่องนี้ให้ทั้งสองคนเป็นคนจัดการ”

“ไม่รู้ว่าคุณเซียวครั้งนี้วางแผนเอาไว้ว่าจะออกเงินทุนเท่าไหร่ในการรับซื้อหุ้นของตระกูลซือคง ในใจพวกเราเองก็จะได้มีตัวเลขเอาไว้กลับไปเตรียมเงินทุน”ไช่จวิ้นหมิงเอ่ยถาม

“หนึ่งพันห้าร้อยล้าน”เซียวชุ่นพูดขึ้น

ตอนนี้เขามีเงินทุนอยู่ทั้งหมดสองพันล้าน โฆษณาโทรทัศน์จำเป็นต้องใช้ส่วนหนึ่ง เหลือเอาไว้อีกส่วนหนึ่งไว้ใช้สำรอง

เวินกวงเหลี้ยงกับไช่จวิ้นหมิงมองสบตากัน ทั้งสองคนเอ่ยขึ้นมา : “คุณเซียวนี่เงินก้อนใหญ่นี่ ความจริงแล้วขาดไม่มากเท่าไหร่นัก เรื่องนี้จัดการได้ง่ายมาก”

“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนทั้งสองท่านด้วยนะครับ หลังจากเสร็จงานแล้ว ผมจะไม่ให้พวกคุณต้องมาเหนื่อยฟรีหรอก”เซียวชุ่นหัวเราะ

“คุณเซียวก็เกรงใจกันเกินไปแล้ว”

........

หลังจากนั้นสองวัน ที่ประชุมกรรมการบริษัทจินสีกรุ๊ป

เรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นความตายของตระกูล หาได้ยากมากที่ซือคงซินหรงจะเข้าร่วมประชุมด้วย เขานั่งอยู่ตรงตำแหน่งของประธานกรรมการบริษัท เนื่องจากเป็นกิจการของตระกูล ที่นั่งอยู่นั้นล้วนแต่เป็นสมาชิกในตระกูลซือคงทั้งสิ้น

“คิดว่าทุกคนก็คงจะได้ยินกันมาแล้ว ผมก็จะไม่พูดอะไรมาก การประชุมครั้งนี้หลักๆแล้วจะพูดกันเกี่ยวกับวาลฟ่า โฮลดิ้ง จินเคอ เมเนทนำทีมบริษัทลงทุนสิทธิผู้ถือหุ้นสองสามแห่งร่วมกันเสนอราคารับซื้อหุ้นส่วน55%ของจินสีกรุ๊ปของพวกเราในราคาสองพันเจ็ดร้อยล้าน ทุกคนไม่เพียงแค่เป็นสมาชิกของตระกูลซือคงเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทด้วย ทุกคนสามารถพูดและแสดงความคิดเห็นออกมาได้อย่างเต็มที่”

ซือคงเจี๋ยรับผิดชอบในการดำเนินการประชุมในครั้งนี้ ในขณะนี้เขาที่เขาดูแลจัดการในบริษัทนั้น ความจริงแล้วก็เป็นประธานของจินสีกรุ๊ปนั่นเอง

“ผมรู้สึกว่าไม่เหมาะสม แบบนี้พวกเราก็จะสูญเสียอำนาจในการควบคุมบริษัทไปหมด พวกเราจะเป็นฝ่ายถูกกระทำเกินไป”

“นั่นไม่มีความจำเป็นหรอก นอกจากวาลฟ่า โฮลดิ้งกับจินเคอ เมเนทแล้วยังมีบริษัทลงทุนเล็กๆอื่นๆอีกสามสี่บริษัท แบบนี้ สิทธิของผู้ถือหุ้นก็แยกกระจัดกระจายกันไปเหมือนกัน แต่พวกเราเป็นครอบครัว เพียงแค่คนในตระกูลเรามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อำนาจในการวางแผนก็ยังคงอยู่ในมือของพวกเรา”

“แต่เพื่อการแก้แค้นเอาตระกูลไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายแบบนี้มันคุ้มกันไหม?”

“มีอะไรให้ต้องกังวล ราคาที่พวกเขาเสนอมาก็นับว่าไม่เลวเลยนะ เพียงแค่ได้เงินมาอยู่ในมือแล้ว พวกเราก็สามารถเริ่มใหม่กันได้นี่ ลองคิดดูตอนรุ่นของคุณท่านที่เจอกับความลำบากตอนที่สร้างกิจการใหม่ๆตั้งแต่เจียงเป่ยมาจนถึงเจียงไห่ ในสถานการณ์ที่หมดตัวไม่มีเงินเลยก็พาพวกเราตระกูลซือคงพัฒนามาจนถึงวันนี้ได้ พวกเราก็จะทำไม่ได้อย่างนั้นเหรอ? และยิ่งกว่านั้นเงื่อนไขของพวกเราในตอนนี้ก็ดีกว่าในตอนนั้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ด้วย”

“……..”

ทางด้านล่างต่างคนต่างแย่งกันพูดแสดงความคิดเห็นขึ้นมา ใบหน้าของซือคงซินหรงไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ หลับตาลงเล็กน้อย ความจริงแล้วในใจของเขามีแผนที่อยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว วันนี้เพียงแค่มาทำให้สมาชิกของตระกูลได้มารู้เรื่องนี้เพียงเท่านั้น

รอหลังจากที่ทุกคนแสดงความคิดเห็นและยังไม่บรรลุเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาก็ค่อยๆลุกขึ้น แววตาที่ขุ่นมัวกวาดมองไปยังทุกคน เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังแต่กลับน่าเกรงขาม

“ถ้าหากยอมที่จะขายหุ้นที่อยู่ในมือ สามารถไปลงชื่อกับซือคงเจี๋ยได้ ขาดเท่าไหร่ ฉันกับลูกชายซือคงเจี๋ยและซือคงอานหมิงจะเติมให้ครบ ก่อนเที่ยง ให้ฉันเห็นผลลัพธ์ด้วย”

พูดจบแล้วซือคงอานหมิงก็ประคองเดินออกไปจากห้องประชุมอย่างงกๆเงิ่นๆ ทิ้งทุกคนเอาไว้ให้มองหน้ากัน

ซือคงซินหรงพูดออกมาอย่างชัดเจนแล้ว เขาและลูกชายทั้งสองคนที่มีหุ้นส่วนเกือบ70% ถ้าหากพวกเขาไม่ขาย พวกเราพ่อลูกก็จะขายเอง

จินสีกรุ๊ปสามารถพัฒนาจนถึงวันนี้ได้อาศัยความสัมพันธ์ทางการเมืองและธุรกิจที่พิเศษในรูปแบบต่างๆในเจียงไห่ของเขากับลูกชายทั้งสองคน ถึงตอนนั้นจินสีกรุ๊ปไม่มีคานกับเสานี้แล้ว ก็เหมือนกับสถานการณ์ง่อนแง่น ใครก็ไม่สามารถได้รับประโยชน์ทั้งนั้น

จนกระทั่งถึงตอนเที่ยงสมาชิกของตระกูลคนอื่นๆมาลงบันทึกต้องการขายหุ้นส่วน12% ซือคงเจี๋ยถือใบบันทึกมาแล้วพูดอึกๆอักๆขึ้นมา : “พ่อครับ.......”

“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ฉันเองก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปีแล้ว ถ้าหากไม่แก้แค้นนี้ หลังจากที่ฉันตายไปแล้วจะไปเจอน้องเฉินได้อย่างไร?”

ตั้งแต่นั้นวิหารของศาสนาเต๋าที่ทรุดโทรมนับวันก็ยิ่งมีการเซ่นไหว้ที่แพร่หลายมากขึ้น ทุกๆวันบนภูเขานั้นก็มีผู้ที่ไปเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ขาดสาย

พ่อค้าเศรษฐีที่รับเหมาภูเขาที่แห้งแล้งแห่งนี้มาและถือโอกาสพัฒนาภูเขาที่แห้งแล้งให้กลายเป็นพื้นที่เขตชมวิว สร้างเป็นสถานที่พักตากอากาศ ถึงแม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับเขตทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น แต่ถ้าหากยึดตามราคาตอนที่รับเหมามาในตอนนั้นก็เป็นการเลือกเก็บในราคาที่ถูกมาก

หน่วยงานรัฐในพื้นที่เห็นแล้วไม่ได้ บอกว่าเป็นการทำผิดอย่างอิจฉาตาร้อน

แต่พ่อค้าเศรษฐีคนนี้ก็นับว่ามีความใจกว้าง เอาสิทธิของหุ้นส่วนส่วนหนึ่งให้กับรัฐบาลท้องถิ่น ถึงได้จัดการให้แบบขอไปที

ส่วนนักพรตยู่ซูจื่อเมื่อสิบปีก่อนบุกทะลวงช่วงปฐมภูมิ ก่อตั้งนิกายขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นปรมาจารย์บู๊ท่านหนึ่ง และยิ่งทำให้เขาคงหมิงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียง ธุรกิจของเขตทิวทัศน์นับวันก็ยิ่งดีขึ้นอีกด้วย

หลังจากช่วงอาหารเย็น เดิมทีลีมูซีนที่จอดอยู่ตรงหน้าประตูโรงแรมก็ขับไปในเขตชมวิวเลยโดยตรง

ซือคงซินหรงที่มีซือคงอานหมิงประคองอยู่ เดินเหินด้วยความลำบากผ่านขั้นบันไดชิงฉือขึ้นไปบนยอดเขา เงยหน้าขึ้นมองวิหารลัทธิเต๋าที่มืดสนิทบนยอดเขา

เวลานี้จุดชมวิวปิดลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บนภูเขาแทบจะไม่เห็นเงาคนเลย ได้ยินเสียงต้นหญ้าเสียดสีกันดังขึ้นเป็นบางครั้งบางคราว คิดแล้วคงจะเป็นพวกสัตว์เล็กๆอย่างกระต่ายป่าพวกนั้น

“ทางนี้เดินไม่ดีนัก พ่อเดินระวังหน่อยนะครับ ควรจะให้ผมไปเรียกนักพรตนั่นลงจากเขามาพบมากกว่า พ่อจะลำบากเดินมาไกลขนาดนี้ทำไม”ซือคงอานหมิงเอ่ยขึ้น

ซือคงซินหรงถอนหายใจออกมา : “นักพรตยู่ซูเป็นคนโอหังและถือดี ถ้าหากฉันไม่มาเชิญด้วยตัวเอง เกรงว่าคงจะเชิญเขาได้ยาก”

“ได้ยินว่านักพรตบำเพ็ญฌานโดยปิดกั้นมาเป็นสิบปี ก้าวออกมาเหยียบโลกภายนอกน้อยมาก และไม่รู้ด้วยว่าเขาเข้าใจในนักบู๊พื้นเมืองมากขนาดไหน ฝีมือของคนสารเลวนั่นมีไม่น้อยเลยจริงๆ”

ซือคงอานหมิงถอนหายใจออกมา และเอ่ยขึ้นด้วยจิตใจที่กระสับกระส่าย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊