จังฮูหยินเลือกชุดในฤดูหนาวสำหรับตนเองและบุตรสาวคนละสามชุด ส่วนของเสี่ยวลิ่งและเหล่าลู่ได้ไปคนละสองชุด เพียงเท่านั้นเสี่ยวลิ่งก็ยิ้มกว้างจะปากแทบจะฉีก เผยมู่ซีหันมาเห็นอาการของสาวใช้ก็รีบยกมือขึ้นตีแขนเบาๆ หนึ่งที
เพี๊ยะ!
“เสี่ยวลิ่ง เจ้ายิ้มเช่นนี้เถ้าแก่เนี้ยจางจะคิดว่าเจ้าเป็นบ้าเอาได้นะ”
“คุณหนู! ท่านอย่าห้ามข้าเลยหลายปีแล้วที่ข้าไม่มีชุดใหม่กับเขาเสียที มาปีนี้ได้ทีเดียวถึงสองชุดไม่ให้ยิ้มเช่นนี้จะอดกลั้นความดีใจอย่างไรไหว?”
เถ้าแก่เนี้ยจางยิ้มด้วยความเอ็นดูนายตัวน้อยและบ่าวตัวโต แม้ว่าจังฮูหยินจะรับจ้างทำงานเย็บปักกับนางมาหลายปีแต่กลับมิเคยมาซื้อเสื้อผ้าเลยสักครั้ง
“ฮูหยินช่างโชคดีนักที่มีบุตรสาวเก่งกาจถึงเพียงนี้ ต่อไปพวกท่านแม่ลูกก็คงจะสบายขึ้น”
“ข้าเองก็ดีใจที่หลานเอ๋อร์สามารถหาเงินได้ แต่ก็อดเป็นห่วงสุขภาพนางมิได้ ไม่อยากให้นางทำงานบุกบั่นมากจนเกินไป หากเจ็บป่วยขึ้นมาจะได้ไม่คุ้มเสีย”
“จริงของท่าน” เถ้าแก่เนี้ยจางมองร่างผอมแห้งของชิงหลานด้วยความเห็นใจ นางเองก็มีบุตรสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับชิงหลานแต่บัดนี้เดินทางไปอยู่เมืองหลวงกับญาติจึงเหลือเพียงบุตรชายคนเล็กที่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่
เถ้าแก่เนี้ยจางลดราคาเสื้อผ้าให้จังฮูหยินมากกว่าลูกค้าคนอื่นๆ ด้วยความเห็นอกเห็นใจ จังฮูหยินรู้ว่าเถ้าแก่เนี้ยจางเมตตาตนยิ่งนักก็ยิ่งเกรงใจ
“เถ้าแก่เนี้ย หากท่านลดราคามากเกินไปก็จะกลายเป็นข้าที่เอาเปรียบท่าน เช่นนั้นก็ให้ราคาที่ท่านพอไหวเถิด”
“ข้าก็เห็นฮูหยินมานานปี ถือเสียว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดีที่ชิงหลานหายป่วยก็แล้วกัน”
จังฮูหยินเลือกเสื้อคลุมขนสัตว์สำหรับคนทั้งสี่อีกคนละหนึ่งตัว เสี่ยวลิ่งเห็นแล้วรู้สึกสงสารฮูหยินของตนเพราะราคานับว่าไม่น้อยเลย เสี่ยวลิ่งรู้สึกคันปากอยากจะเอ่ยทัดทาน ทว่าจังฮูหยินซึ่งหันกลับมาเห็นยกนิ้วขึ้นทำท่าให้เสี่ยวลิ่งเงียบเอาไว้
“เสื้อคลุมผ้ากำมะหยี่ชายขนแกะพวกนี้สวยงามจริงๆ”
“อืม...ราคาก็สมกับความงดงามและอบอุ่นนั่นล่ะ ท่านชอบหรือ?”
จังฮูหยินพยักหน้าเบาๆ นางจำฤดูหนาวปีก่อนได้แม่นยำ ยามหิมะโปรยปรายเสื้อคลุมผ้ากำมะหยี่อย่างดีตัวเก่าที่นางนำติดตัวมาจากจวนสกุลเผยมีรูโหว่หลายรู แม้จะปะได้แต่ก็ไม่อาจหาเนื้อผ้าชนิดเดียวกันมาได้ ปกตินางไม่กล้าสวมเสื้อคลุมตัวนั้นออกจากบ้าน ในวันที่หนาวจัดวันหนึ่งนางจำต้องออกไปหาหมอฉินเพื่อรับยา จึงได้ให้เสี่ยวลิ่งคอยยืนบังไว้
จังฮูหยินเลือกเสื้อคลุมสำหรับคนทั้งสี่อย่างละหนึ่งตัว นางหมดเงินก้อนไปถึงสามตำลึง เถ้าแก่เนี้ยเห็นว่าเสื้อผ้ามีจำนวนมากจึงสั่งให้บ่าวในร้านขี่ม้าเอาไปส่งที่จวน ส่วนสตรีทั้งสามก็เดินแวะซื้อของกินร้านข้างทางกลับจวน
“ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านเลือกแต่ผ้าเนื้อดีให้พวกเราด้วย เช่นนี้จะไม่สิ้นเปลืองเกินไปหรือเจ้าคะ? เมื่อครู่ข้าเห็นท่านจ่ายไปถึงสามตำลึงเชียว”
จังฮูหยินมองหน้าสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ด้วยความเมตตา “เจ้ากับเหล่าลู่ล้วนเสียสละเพื่อเราสองแม่ลูก ในเมื่อพอมีเงินที่จะซื้อหาเสื้อผ้าให้พวกเจ้าได้ก็สมควรทำแล้ว อีกอย่างพวกเจ้าก็ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ใส่มาหลายปี ผ้าคลุมกันหนาวก็ปะชุนกันจนไม่รู้จะปะที่ใดแล้ว? รับไปเถอะ...ยังไม่รู้ว่าวันหน้าจะมีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อใด?”
เสี่ยวลิ่งได้ยินก็น้ำตารื้น “ฮูหยินเมตตาบ่าวถึงเพียงนี้ บ่าวจึงไม่เคยคิดจะไปจากท่าน”
“ข้าเองก็ต้องขอโทษที่ทำให้เจ้ามิได้ออกเรือนเพราะห่วงพวกเราสองแม่ลูก หากข้ามีโอกาสจะต้องตอบแทนเจ้าอย่างเหมาะสมแน่”
เผยมู่ซีเห็นคนทั้งสองคล้ายจะเริ่มร่ำไห้เอ่ยเรื่องราวรันทดก็รีบตัดบท “ท่านแม่กับเสี่ยวลิ่งพวกเราออกมาซื้อเสื้อผ้าใหม่วันนี้พวกท่านก็อย่ามัวแต่รื้อฟื้นเรื่องเศร้าๆ กันเลย ข้าอยากกินน้ำตาลปั้น”
เสี่ยวลิ่งได้ยินคุณหนูเย้าแหย่เช่นนั้นก็อดหัวเราะออกมิได้ “โธ่คุณหนู! ให้ข้าได้ซาบซึ้งสักหน่อยเถิด ข้าเห็นฮูหยินทุกข์ยากลำบากมาหลายปี ครั้งนี้เพิ่งจะมีความสุขก็อดจะคิดถึงความหลังไม่ได้”
“เสี่ยวลิ่ง สิ่งใดที่รำลึกแล้วสร้างความโศกาอาดูรก็อย่าเอ่ยอีกเลย? ต่อไปพวกเราจะมีแต่ความสุข รอยยิ้มและเสียงหัวเราะดีหรือไม่?”
“ดีเจ้าค่ะ”
“พะยะค่ะ”
องครักษ์จงรีบชักม้าเข้าไปหาคนทั้งสามแล้วเอ่ยบอกถึงประกาศสำคัญของอำเภอเฉินที่เพิ่งมีในยามบ่ายว่าให้ราษฏรรีบกลับเรือนและปิดให้แน่นหนาเพราะยามนี้มีโจรป่าผู้หนึ่งซึ่งถูกทางการไล่ล่าอยู่นอกเมืองเข้ามาซ่อนตัวอยู่ในอำเภอ ช่วงหัวค่ำเหล่ามือปราบจะออกติดตามจับกุมครั้งใหญ่
เสี่ยวลิ่งฟังองครักษ์จงบอกกล่าวแล้วก็รู้สึกหวาดกลัวยิ่ง “ฮูหยินรีบกลับกันเถอะเจ้าค่ะ เรือนของเรามีบุรุษเพียงเหล่าลู่คนเดียว ต้องรีบปิดเรือนให้แน่นหนา”
“ขอบคุณท่านองครักษ์ที่แจ้งข่าวแก่พวกข้า เห็นทีจะต้องรีบกลับแล้ว”
“ตะวันจะลับฟ้าแล้ว พวกท่านเร่งฝีเท้าเข้าเถิด”
ความตั้งใจที่จะซื้อของกินกลับจวนเป็นอันสลาย คนทั้งสามมุ่งหน้ากลับเรือนให้เร็วที่สุด แม้อำเภอเฉินจะไม่ค่อยเกิดเหตุร้ายแต่จำนวนมือปราบก็มิได้มากพอที่จะคอยเฝ้าทุกถนนหนทาง ความหวังของพวกนางทั้งสามมีเพียงเหล่าลู่คนเดียวเท่านั้น
องค์ชายสิบห้าประทับบนหลังคามองคนทั้งสามเร่งฝีเท้าจากไป พลันนึกขึ้นได้ว่าถนนที่พวกนางกำลังเดินไปนั้นค่อนข้างเปลี่ยว
“จงเหยียน ทางไปจวนพวกนางต้องผ่านทางนั้นหรือ?”
“จวนสกุลชิงอยู่สุดถนน พะยะค่ะ”
“เจ้าไปส่งพวกนางหน่อยเถิด เส้นทางนั้นไม่ค่อยมีบ้านเรือน หนำซ้ำยังมีต้นไม้รกครึ้มไปหมดอาจจะไม่ปลอดภัย”
************************
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดอีกคราเป็นชายาตัวร้าย(มีEbook)