อากาศสดชื่นที่พัดเข้ามาจากด้านนอก ทำให้เธอต้องถอดเสื้อคลุมออกครู่หนึ่ง แล้วก้าวลงไปเหยียบพื้นดิน
ได้ออกมายืนยืดเส้นยืดสายหลังจากต้องนั่งนิ่งอยู่ในรถม้าตั้งหลายชั่วโมง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงสดใสเสียงหนึ่งเอ่ยกับเธอ
“ท่านฟีเรนเทีย”
ผิวคล้ำเป็นสีแทน ใบหน้าหล่อเหลาน่ามอง ผมสีบลอนด์แพลทินัม
“ท่านอาบีน็อกซ์”
ผู้พ่ายแพ้จากตะวันออก อาบีน็อกซ์ผู้เป็นทายาทของตระกูลรูมันคนนี้ ได้ร่วมเดินทางมาช่วยเหลือเขตเหนือครั้งนี้ในฐานะตัวแทนจากตะวันออก
หลังจากได้พบกันครั้งแรกในงานเปิดตัวของเธอ อาบีน็อกซ์ก็อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด และมักจะไปร่วมงานพบปะของบรรดาชนชั้นสูงรุ่นเยาว์อยู่บ่อยครั้ง
นิสัยก็ดีมากเหมือนกับหน้าตาอันแสนโดดเด่น แถมยังพูดเก่ง ทำให้บรรดาชนชั้นสูงในภาคกลางไม่มีใครไม่รู้จักอาบีน็อกซ์คนนี้แม้แต่คนเดียวโดยเฉพาะในหมู่สาวๆ ความนิยมของเขาพุ่งสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว
“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” อาบีน็อกซ์เอ่ยถามเธอด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะ แค่รู้สึกเหมือนจะมีไข้นิดหน่อยเท่านั้นเอง พอดีข้าไม่ค่อยคุ้นกับการนั่งรถม้าเดินทางนานๆ แบบนี้ แต่ท่านอาบีน็อกซ์ดูเหมือนจะอารมณ์ดีมากเลยนะคะ”
เธอไม่ได้พูดกระแนะกระแหนเขา แต่อาบีน็อกซ์ที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่นั่นดูอารมณ์ดีมากจริงๆ
ต้องบอกว่าเหมือนกับไอดอลในโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังเลยละมั้ง
“ข้าเองก็เพิ่งเคยได้เดินทางไปยังเขตเหนือเป็นครั้งแรกน่ะครับ”
“ทราบมาว่าเดิมทีมีแผนจะเดินทางกลับไปยังตะวันออกสักระยะแล้วนี่ไม่เสียดายเหรอคะ”
เมื่อได้ยินคำถาม อาบีน็อกซ์ก็หยุดครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ
“เรื่องทุกอย่างต้องมีเวลาของมันนี่ครับ ต่อให้ข้าเดินทางกลับมาจากเขตแดนเหนือ บ้านเกิดของข้าก็จะยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน เพราะมันเป็นสถานที่เช่นนั้น แต่ว่า”
นัยน์ตาสดใสดูลึกลับมีเสน่ห์ของอาบีน็อกซ์มองมายังเธอตรงๆ
“ตระกูลรูมันของพวกเราแยกตัวเป็นอิสระมานาน ไม่มีการติดต่ออะไรกับเขตแดนอื่นๆ เลย ตอนนี้ทางเหนือกำลังต้องการความช่วยเหลือ จะมีโอกาสไหนดีกว่าตอนนี้ที่จะยื่นมือเข้าไปสานสัมพันธ์ด้วยอีกละครับ”
อา ใช่แล้ว วิธีการสนทนาแบบไม่อ้อมค้อมของตะวันออก
มันเป็นคำพูดตรงไปตรงมาจนเธอเผลอตกใจไปครู่หนึ่ง
แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของตะวันออกเช่นกัน
เธอหัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่าร่วมไปกับอาบีน็อกซ์
“เทีย ข้าเอายามาให้”
ในตอนนั้นเองเฟเรสก็เดินเข้ามาหา
“เจ้าชาย”
อาบีน็อกซ์ยังคงเป็นแฟนคลับตัวยงของเฟเรสเหมือนเดิม นัยน์ตาของเขาส่องประกายระยิบระยับ
“ท่านชายน้อยรูมัน คุณหนูลอมบาร์เดียไม่ค่อยสบาย คงต้องขอตัวก่อน”
เฟเรสกล่าวสั้นๆ แล้วพาเธอเดินกลับไปที่รถม้า
“ท่านอาบีน็อกซ์ชอบเจ้ามากเลยนะ ถึงจะกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็น่าจะทักทายกันให้ดีหน่อยสิ”
เฟเรสเปิดประตูรถม้าออก ในขณะเดียวกันก็เอ่ยตอบเธอไปด้วย
“ไว้ทีหลัง เทีย ตอนนี้สีหน้าเจ้าดูแย่กว่าเดิมอีก”
“…เหรอ”
ก็รู้สึกว่ามึนหัวมากกว่าเดิมอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าเฟเรสเป็นคนสั่งการหรือเปล่า ที่นั่งภายในรถม้าจึงถูกปรับเปลี่ยนเป็นเตียงนอนขนาดย่อม มีทั้งหมอนและผ้าห่มผืนนุ่มจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อย
หลังจากพวกเราเดินกลับขึ้นรถม้า เพียงไม่นานขบวนเดินทางก็เริ่มขยับเคลื่อนตัวออกเดินทางอีกครั้ง
“กินนี่แล้วนอนพักเยอะๆ” โล่งอกที่ยาที่เฟเรสเอามาให้ไม่ได้ขมมากนัก
ทั้งยังมีรสหวานเหลือติดปลายลิ้น ทำให้สามารถกลืนมันลงคอได้อย่างไม่ยากนัก
เพราะผลข้างเคียงจากยาหรือเปล่านะ หรือว่าเพราะผ้าห่มผืนนุ่ม ทั้งรถม้าก็ขยับเคลื่อนไปโดยสั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพียงไม่นานความง่วงงุนก็พลันคืบคลานเข้ามา
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอพักสักหน่อยก็แล้วกัน”
เปลือกตาหนักอึ้ง ตาปรือจนลืมไม่ขึ้น หลังจากพูดประโยคนั้นออกไป เธอก็หลับใหลไปโดยไม่รู้สึกตัว
* * *
พอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกก็คือ โคมไฟขนาดเล็กที่ส่องสว่างภายในรถม้ามืดสลัว
“กลางคืน…แล้วเหรอ”
นี่เธอหลับไปกี่ชั่วโมงกันแน่เนี่ย
โล่งอกที่ดูเหมือนยาจะได้ผลดีเยี่ยม พอลุกขึ้นจากที่นอน ร่างกายก็รู้สึกเบาขึ้นมาก
ทันทีที่เปิดประตูรถม้าออกไป อัศวินที่ยืนอารักขาอยู่ข้างนอกก็หันมามองเธอ
“ตื่นแล้วหรือครับ”
“ค่ะ ลำบากกันเพราะฉันแท้ๆ เลยค่ะ ตอนนี้ตั้งแคมป์กันแล้วเหรอคะ”
“ครับ เป็นเช่นนั้น”
ห่างไปจากรถม้าที่เธอนอนหลับไปเล็กน้อย อัศวินกับทหารคนอื่นๆ ก่อกองไฟทิ้งไว้ และกำลังนั่งล้อมวงสนทนาพูดคุยกันอยู่
แต่มองไม่เห็นเฟเรสเลยแม้แต่เงา
“เจ้าชายอยู่ที่ไหนเหรอคะ”
แกรบ!
ใบไม้แห้งที่เธอเผลอเหยียบเข้าแตกละเอียดจนเกิดเสียงแผ่วเบา
แต่สำหรับเฟเรสแล้ว แค่เสียงนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขารู้ว่ามีคนอยู่ตรงนี้
ซ่า!
เสียงน้ำสาดกระเซ็นดังขึ้น พร้อมกับเฟเรสที่หันหลังหมุนตัวกลับมามอง
“…เทีย?”
เสียงทุ้มต่ำของเด็กหนุ่มดังขึ้น พร้อมกับสติของเธอที่เริ่มกลับคืนมา
นี่มันเหมือนเธอเป็นพวกโรคจิตแอบถ้ำมองเลยไม่ใช่หรือไง!
“อ๊ะ! ข้า ข้าน่ะคือแบบว่า! ขอโทษนะ! ขอโทษค่ะ!”
ถึงแม้จะหลับตาช้าไปหน่อย แต่เธอก็รีบหลับตาแน่น หันหลังหนีไปจากตรงนั้น
“ไม่ได้ตั้งใจมาแอบดูนะ! แค่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างก็เลยลองเดินมาดูเฉยๆ! แต่ดันเผลอตะลึงไปแป๊บ… ขอโทษจริงๆ!”
“…เดี๋ยวก่อน”
พอหลับตาลง หูของเธอก็ดันไวต่อความรู้สึกมากกว่าเดิม ทำให้ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ
เสียงเฟเรสขึ้นจากน้ำ เสียงเขาหาอะไรบางอย่างสวมลงบนร่างกาย
ตึก ตึก ตึก และกระทั่งเสียงเขาเดินเข้ามาหาเธอด้วยเท้าเปลือยเปล่า
“ขอโทษนะ เฟเรส! ข้าไม่ได้เห็นอะไรที่สำคัญเลย ไม่สิ นอกจากท่อนบนก็ไม่เห็นอะไรเลย! จริงๆ นะ… อ๊ากกก!”
พูดไปเรื่อย ในขณะเดียวกันก็ก้าวถอยไปข้างหลังทั้งๆ ที่ยังหลับตาลง ทำให้ส้นเท้าดันไปสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่างจนร่างกายเซจวนเจียนจะล้ม
และวินาทีต่อมาก็รู้สึกได้ถึงแขนแกร่งข้างหนึ่งที่ยื่นออกมาคว้าเอวของเธอไว้
“เทีย”
เสียงที่ได้ยินอยู่ข้างหูทำให้เธอลืมตาขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว
มองไปเห็นเรือนผมสีดำสนิทอาบไปด้วยหยดน้ำไหลติ๋งๆ อยู่ตรงหน้า และนัยน์ตาสีแดงสว่างเป็นประกาย
เฟเรสขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“มันอันตรายไม่ใช่เหรอ ต้องระวังหน่อยสิ”
อึก!
เธอกลืนน้ำลายเสียงดังพลางครุ่นคิด
สิ่งที่อันตรายที่สุดที่นี่ในตอนนี้ น่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าที่ทำให้คนคลั่งได้ง่ายๆ มากกว่านะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...