เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 4

อากาศสดชื่นที่พัดเข้ามาจากด้านนอก ทำให้เธอต้องถอดเสื้อคลุมออกครู่หนึ่ง แล้วก้าวลงไปเหยียบพื้นดิน

ได้ออกมายืนยืดเส้นยืดสายหลังจากต้องนั่งนิ่งอยู่ในรถม้าตั้งหลายชั่วโมง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงสดใสเสียงหนึ่งเอ่ยกับเธอ

“ท่านฟีเรนเทีย”

ผิวคล้ำเป็นสีแทน ใบหน้าหล่อเหลาน่ามอง ผมสีบลอนด์แพลทินัม

“ท่านอาบีน็อกซ์”

ผู้พ่ายแพ้จากตะวันออก อาบีน็อกซ์ผู้เป็นทายาทของตระกูลรูมันคนนี้ ได้ร่วมเดินทางมาช่วยเหลือเขตเหนือครั้งนี้ในฐานะตัวแทนจากตะวันออก

หลังจากได้พบกันครั้งแรกในงานเปิดตัวของเธอ อาบีน็อกซ์ก็อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด และมักจะไปร่วมงานพบปะของบรรดาชนชั้นสูงรุ่นเยาว์อยู่บ่อยครั้ง

นิสัยก็ดีมากเหมือนกับหน้าตาอันแสนโดดเด่น แถมยังพูดเก่ง ทำให้บรรดาชนชั้นสูงในภาคกลางไม่มีใครไม่รู้จักอาบีน็อกซ์คนนี้แม้แต่คนเดียวโดยเฉพาะในหมู่สาวๆ ความนิยมของเขาพุ่งสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว

“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” อาบีน็อกซ์เอ่ยถามเธอด้วยความเป็นห่วง

“ค่ะ แค่รู้สึกเหมือนจะมีไข้นิดหน่อยเท่านั้นเอง พอดีข้าไม่ค่อยคุ้นกับการนั่งรถม้าเดินทางนานๆ แบบนี้ แต่ท่านอาบีน็อกซ์ดูเหมือนจะอารมณ์ดีมากเลยนะคะ”

เธอไม่ได้พูดกระแนะกระแหนเขา แต่อาบีน็อกซ์ที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่นั่นดูอารมณ์ดีมากจริงๆ

ต้องบอกว่าเหมือนกับไอดอลในโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังเลยละมั้ง

“ข้าเองก็เพิ่งเคยได้เดินทางไปยังเขตเหนือเป็นครั้งแรกน่ะครับ”

“ทราบมาว่าเดิมทีมีแผนจะเดินทางกลับไปยังตะวันออกสักระยะแล้วนี่ไม่เสียดายเหรอคะ”

เมื่อได้ยินคำถาม อาบีน็อกซ์ก็หยุดครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ

“เรื่องทุกอย่างต้องมีเวลาของมันนี่ครับ ต่อให้ข้าเดินทางกลับมาจากเขตแดนเหนือ บ้านเกิดของข้าก็จะยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน เพราะมันเป็นสถานที่เช่นนั้น แต่ว่า”

นัยน์ตาสดใสดูลึกลับมีเสน่ห์ของอาบีน็อกซ์มองมายังเธอตรงๆ

“ตระกูลรูมันของพวกเราแยกตัวเป็นอิสระมานาน ไม่มีการติดต่ออะไรกับเขตแดนอื่นๆ เลย ตอนนี้ทางเหนือกำลังต้องการความช่วยเหลือ จะมีโอกาสไหนดีกว่าตอนนี้ที่จะยื่นมือเข้าไปสานสัมพันธ์ด้วยอีกละครับ”

อา ใช่แล้ว วิธีการสนทนาแบบไม่อ้อมค้อมของตะวันออก

มันเป็นคำพูดตรงไปตรงมาจนเธอเผลอตกใจไปครู่หนึ่ง

แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของตะวันออกเช่นกัน

เธอหัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่าร่วมไปกับอาบีน็อกซ์

“เทีย ข้าเอายามาให้”

ในตอนนั้นเองเฟเรสก็เดินเข้ามาหา

“เจ้าชาย”

อาบีน็อกซ์ยังคงเป็นแฟนคลับตัวยงของเฟเรสเหมือนเดิม นัยน์ตาของเขาส่องประกายระยิบระยับ

“ท่านชายน้อยรูมัน คุณหนูลอมบาร์เดียไม่ค่อยสบาย คงต้องขอตัวก่อน”

เฟเรสกล่าวสั้นๆ แล้วพาเธอเดินกลับไปที่รถม้า

“ท่านอาบีน็อกซ์ชอบเจ้ามากเลยนะ ถึงจะกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็น่าจะทักทายกันให้ดีหน่อยสิ”

เฟเรสเปิดประตูรถม้าออก ในขณะเดียวกันก็เอ่ยตอบเธอไปด้วย

“ไว้ทีหลัง เทีย ตอนนี้สีหน้าเจ้าดูแย่กว่าเดิมอีก”

“…เหรอ”

ก็รู้สึกว่ามึนหัวมากกว่าเดิมอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน

ไม่รู้ว่าเฟเรสเป็นคนสั่งการหรือเปล่า ที่นั่งภายในรถม้าจึงถูกปรับเปลี่ยนเป็นเตียงนอนขนาดย่อม มีทั้งหมอนและผ้าห่มผืนนุ่มจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อย

หลังจากพวกเราเดินกลับขึ้นรถม้า เพียงไม่นานขบวนเดินทางก็เริ่มขยับเคลื่อนตัวออกเดินทางอีกครั้ง

“กินนี่แล้วนอนพักเยอะๆ” โล่งอกที่ยาที่เฟเรสเอามาให้ไม่ได้ขมมากนัก

ทั้งยังมีรสหวานเหลือติดปลายลิ้น ทำให้สามารถกลืนมันลงคอได้อย่างไม่ยากนัก

เพราะผลข้างเคียงจากยาหรือเปล่านะ หรือว่าเพราะผ้าห่มผืนนุ่ม ทั้งรถม้าก็ขยับเคลื่อนไปโดยสั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เพียงไม่นานความง่วงงุนก็พลันคืบคลานเข้ามา

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอพักสักหน่อยก็แล้วกัน”

เปลือกตาหนักอึ้ง ตาปรือจนลืมไม่ขึ้น หลังจากพูดประโยคนั้นออกไป เธอก็หลับใหลไปโดยไม่รู้สึกตัว

* * *

พอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกก็คือ โคมไฟขนาดเล็กที่ส่องสว่างภายในรถม้ามืดสลัว

“กลางคืน…แล้วเหรอ”

นี่เธอหลับไปกี่ชั่วโมงกันแน่เนี่ย

โล่งอกที่ดูเหมือนยาจะได้ผลดีเยี่ยม พอลุกขึ้นจากที่นอน ร่างกายก็รู้สึกเบาขึ้นมาก

ทันทีที่เปิดประตูรถม้าออกไป อัศวินที่ยืนอารักขาอยู่ข้างนอกก็หันมามองเธอ

“ตื่นแล้วหรือครับ”

“ค่ะ ลำบากกันเพราะฉันแท้ๆ เลยค่ะ ตอนนี้ตั้งแคมป์กันแล้วเหรอคะ”

“ครับ เป็นเช่นนั้น”

ห่างไปจากรถม้าที่เธอนอนหลับไปเล็กน้อย อัศวินกับทหารคนอื่นๆ ก่อกองไฟทิ้งไว้ และกำลังนั่งล้อมวงสนทนาพูดคุยกันอยู่

แต่มองไม่เห็นเฟเรสเลยแม้แต่เงา

“เจ้าชายอยู่ที่ไหนเหรอคะ”

แกรบ!

ใบไม้แห้งที่เธอเผลอเหยียบเข้าแตกละเอียดจนเกิดเสียงแผ่วเบา

แต่สำหรับเฟเรสแล้ว แค่เสียงนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขารู้ว่ามีคนอยู่ตรงนี้

ซ่า!

เสียงน้ำสาดกระเซ็นดังขึ้น พร้อมกับเฟเรสที่หันหลังหมุนตัวกลับมามอง

“…เทีย?”

เสียงทุ้มต่ำของเด็กหนุ่มดังขึ้น พร้อมกับสติของเธอที่เริ่มกลับคืนมา

นี่มันเหมือนเธอเป็นพวกโรคจิตแอบถ้ำมองเลยไม่ใช่หรือไง!

“อ๊ะ! ข้า ข้าน่ะคือแบบว่า! ขอโทษนะ! ขอโทษค่ะ!”

ถึงแม้จะหลับตาช้าไปหน่อย แต่เธอก็รีบหลับตาแน่น หันหลังหนีไปจากตรงนั้น

“ไม่ได้ตั้งใจมาแอบดูนะ! แค่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างก็เลยลองเดินมาดูเฉยๆ! แต่ดันเผลอตะลึงไปแป๊บ… ขอโทษจริงๆ!”

“…เดี๋ยวก่อน”

พอหลับตาลง หูของเธอก็ดันไวต่อความรู้สึกมากกว่าเดิม ทำให้ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ

เสียงเฟเรสขึ้นจากน้ำ เสียงเขาหาอะไรบางอย่างสวมลงบนร่างกาย

ตึก ตึก ตึก และกระทั่งเสียงเขาเดินเข้ามาหาเธอด้วยเท้าเปลือยเปล่า

“ขอโทษนะ เฟเรส! ข้าไม่ได้เห็นอะไรที่สำคัญเลย ไม่สิ นอกจากท่อนบนก็ไม่เห็นอะไรเลย! จริงๆ นะ… อ๊ากกก!”

พูดไปเรื่อย ในขณะเดียวกันก็ก้าวถอยไปข้างหลังทั้งๆ ที่ยังหลับตาลง ทำให้ส้นเท้าดันไปสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่างจนร่างกายเซจวนเจียนจะล้ม

และวินาทีต่อมาก็รู้สึกได้ถึงแขนแกร่งข้างหนึ่งที่ยื่นออกมาคว้าเอวของเธอไว้

“เทีย”

เสียงที่ได้ยินอยู่ข้างหูทำให้เธอลืมตาขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว

มองไปเห็นเรือนผมสีดำสนิทอาบไปด้วยหยดน้ำไหลติ๋งๆ อยู่ตรงหน้า และนัยน์ตาสีแดงสว่างเป็นประกาย

เฟเรสขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“มันอันตรายไม่ใช่เหรอ ต้องระวังหน่อยสิ”

อึก!

เธอกลืนน้ำลายเสียงดังพลางครุ่นคิด

สิ่งที่อันตรายที่สุดที่นี่ในตอนนี้ น่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าที่ทำให้คนคลั่งได้ง่ายๆ มากกว่านะ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]