เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง นิยาย บท 56

ในบ่ายวันนั้น หลังจากที่เซวียหลิงจัดการกับงานของตนเรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้แบ่งเวลามาอ่านรายงานที่หลิวซินและรองผอ.เจินเคยทำไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งยังได้ถามถึงความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนรับผิดชอบเรื่องคอลัมน์การเงิน

เพื่อนร่วมงานเหล่านั้นกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับอย่างยิ่งกับกิจกรรมส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ครั้งนี้ และวางแผนที่จะเปลี่ยนพื้นที่ริมแม่น้ำให้เป็นชุมชนพัฒนาเศรษฐกิจเหล่านั้นด้วย

"หากทำได้ดี รัฐบาลมีแผนจะขยายขนาดในอีก 2 ปีข้างหน้า และพัฒนาทั้งอำเภอหรงหวาและชานเมืองใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเป้าหมายระยะยาว ฉันไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า"

เซวียหลิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยขอบคุณเพื่อนร่วมงาน

แม้ว่าเมื่อชาติที่แล้วโดยมากเธอจะใช้เวลายุ่งอยู่กับการดิ้นรนปากกัดตีนถีบที่ทางใต้ แต่เนื่องจากว่าบ้านของเฉิงเทียนหยวนอยู่ที่นี่ ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างให้ความสนใจกับอำเภอหรงหวา

จากที่เธอรู้มา กิจกรรมการลงทุนครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม่เพียงแต่สร้างโรงงานจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังผลิตชุดเครื่องใช้ในครัวเรือนขั้นสูงซึ่งก่อให้เกิดเขตเศรษฐกิจที่คึกคักมาก

ด้วยเหตุนี้เอง ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ไม่ว่าตอนนี้จะดูรกร้างห่างไกลความเจริญเพียงใด ในอนาคตมันจะกลายเป็นสถานที่ซึ่งเจริญรุ่งเรือง

หลังจากจัดการธุระของตนเรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้เหลือบสายตาไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง พบว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น

ท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงมืดมนลงอย่างรวดเร็ว เธอรีบขี่จักรยานไปยังบ้านเช่าของเธอ

เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้าน ก็พบเฉินหมินกับชายคนหนึ่งรูปร่างกำยำยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านเช่าของเธอ เฉิงเทียนหยวนกำลังจะเปิดประตูให้พวกเขา

"อ้าว เสี่ยวเซวียกลับมาแล้วหรือ กลับมาไม่ช้าไม่เร็ว ได้จังหวะเหมาะเจาะพอดีเหลือเกิน" อาหู่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง

เฉิงเทียนหยวนค่อยๆ เดินออกมาจากข้างใน เนื่องจากว่าบริเวณน่องของเขาบาดแผลยังไม่หายดี ดังนั้นเขาจึงเดินได้ค่อนข้างช้า

เซวียหลิงกระโดดลงจากรถจักรยานแล้วทักทายพวกเฉินหมินด้วยท่าทางอันอบอุ่น

"เชิญนั่งข้างในก่อน อย่าได้เกรงใจไป"

แต่เฉินหมินก็ยังคงเกรงใจดังเดิม ในทางกลับกันเป็นอาหู่รู้สึกคุ้นเคยเป็นกันเองมากกว่า เขาก้าวเข้าไปด้านในบ้านแล้วเอ่ยถามว่า "เสี่ยวเซวีย รถจักรยานคันนี้ชื่นชอบมันหรือไม่ เป็นรถจักรยานมียี่ห้อ เชื่อผมเถอะ เลือกไม่ผิดแน่!"

เซวียหลิงหัวเราะขึ้นเหอะๆ แล้วพูดว่า "ไม่เลวเลยค่ะ"

อาหู่ยิ้มเสียจนปากกว้างแล้วรีบชี้แจงขึ้นว่า "เมื่อครั้งก่อนเราเดินทางมาอย่างเร่งรีบ ซึ่งในตอนนั้นสมองของผมมันสับสนมึนงงไปหมด จิตใจมัวแต่กังวลลุกลี้ลุกรน ยังไม่ทันได้สนทนากับพวกเธอทั้งสองเท่าไร ผมรู้สึกว่าช่างไร้มารยาทนัก ช่วงที่ผ่านมาก็มัวแต่ดูแลแม่ที่เจ็บป่วยจึงไม่ได้เดินทางมาขอบใจพวกคุณทั้งสองคน อย่าได้ถือสาผมเลย"

เฉิงเทียนหยวนช่วยนำจักรยานเข้าไปเก็บไว้ด้านในแล้วพูดว่า "อย่าได้เกรงอกเกรงใจไป การดูแลแม่เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า"

เดิมทีเขาตั้งใจจะเชิญอาหู่และเฉินหมินขึ้นไปด้านบน กล่าวว่าที่ด้านบนมีห้องรับแขกอยู่ เชิญทั้งสองขึ้นไปดื่มน้ำร้อนสักแก้วก็ยังดี

คิดไม่ถึงว่าลูกพี่ลูกน้องของเฉินหมินกลับปฏิเสธ เขาอธิบายว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องรีบกลับไปหุงหาอาหารให้แม่ จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้

"แม่ของผมยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อผมเดินทางออกมาแบบนี้จึงไม่มีใครดูแลเธอ ผมจะออกมานานมากไม่ได้ เมื่อตอนกลางวันอาหมินได้เดินทางไปโรงพยาบาลแล้วเล่าให้ฟังว่าเสี่ยวเซวียรู้เรื่องราวภายในของกิจกรรมการลงทุนในครั้งนี้ จึงบอกว่าเมื่อเลิกงานแล้วจะพามาเอ่ยถามดู"

อาหู่พยักหน้าก้มศีรษะลงด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วหันไปโค้งกายให้แก่เซวียหลิง

"เสี่ยวเซวีย ครั้งนี้คงต้องรบกวนอีกครั้ง ขอขอบคุณเอาไว้ล่วงหน้าด้วย"

เซวียหลิงยกมือขึ้นโบกปฏิเสธยิ้มแล้วกล่าวว่า "ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพอจะช่วยเรื่องใดได้ ขึ้นไปข้างบนคงจะลำบากไปหน่อย พวกเราไปนั่งที่ห้องครัว แล้วดื่มน้ำร้อนก่อนสักแก้วเป็นเช่นไร?"

"ได้เลย" อาหู่เดินเข้าไปในห้องครัวแล้วเอ่ยชมว่าที่แห่งนี้ช่างกว้างขวางดีเหลือเกิน ก่อนที่จะหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งวางไว้ตรงมุมห้องออกมานั่งลง

อาหมินเผยอยิ้มขึ้นพูดว่า "พี่ ถ้าอย่างนั้น......อย่างน้อยต้องขายหมู่ละ 300 หยวน น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว"

อาหู่ทำปากพึมพำแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ใจว่า "อาหมิน หากไม่ใช่เพราะแม่ที่นอนป่วยอยู่เช่นนี้ พี่จะยินดีขายที่แห่งนั้นได้อย่างไรเล่า ผ่านไปอีกสักเดือนสองเดือนคาดว่าคงจะทำกำไรได้มากโข"

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาก็เบ้ปากส่งเสียงพึมพำว่า "หลายวันมานี้มีหลายคนทีเดียวที่สนใจอยากจะซื้อและเดินทางมาสนทนากับผม แต่ละคนกดราคาต่ำลงทุกที ให้ตายสิ พวกเขารู้ว่าแม่ของผมนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลจำเป็นต้องใช้เงิน จึงได้เอาแต่กดราคากัน!"

เซวียหลิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า "พี่อาหู่ พวกเขาให้ราคามากสุดอยู่ที่หมู่ละกี่หยวน?"

อาหู่ ฝืนยิ้มขึ้นด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว "ให้ราคาสูงสุดเพียงแค่ 200 หยวน มีอีกสองคนที่ใจดำเหลือเกิน ให้เพียงแค่ 120 หยวนเท่านั้น เสี่ยวเซวีย ที่ของผมตรงนั้นหากนับดูแล้วคาดว่าคงจะมีพื้นที่มากถึงสิบหมู่ หากไม่ใช่เพราะว่าแม่ป่วยจะมันรอรีไม่ได้ เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นล่ะก็......เอาล่ะไม่พูดแล้ว ใครใช้ให้เราต้องรีบใช้เงินกัน สมควรแล้ว"

เมื่อเห็นว่าพื้นที่รกร้างแห่งนั้นในที่สุดก็มีมูลค่าขึ้นมาสักที ช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่เวลาคลาดเคลื่อน มาบรรจบเอาตอนที่ตนไม่มีวาสนาเพียงพอ

เฉิงเทียนหยวนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า "ค่าผ่าตัดที่อำเภอเมืองของคุณป้า คำนวณไว้เรียบร้อยแล้วหรือ ตอนนี้ในมือมีเงินเท่าไร? ยังขาดอีกเท่าไร เราขายสักครึ่งหนึ่งได้หรือไม่?"

อาหู่หยิบบุหรี่ออกมาโยนให้เฉินหมินมวนหนึ่ง และอีกมวนหนึ่งโยนไปให้ เฉิงเทียนหยวน

"ผมได้ถามหมอแล้ว ถ้าไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองต้องมีค่ารักษาอย่างน้อยหนึ่งพันหยวน ประกอบกับค่ารถไปกลับและค่ายา อย่างน้อยก็ต้องเตรียมเงิน1200 หยวน ช่วงนี้ที่บ้านก็ได้ขายหม้อไหทุกสิ่งอย่างแล้ว ไหนจะจักรยานที่ขายให้พวกเธอสองคนอีก รวบรวมเงินทั้งหมดก็ได้เพียงแค่ 400 หยวนเท่านั้น ที่แห่งนั้นรวมกันเป็นผืนเดียวจะขายเพียงครึ่งหนึ่งคาดว่าคงไม่ได้ พวกคนที่เดินทางมาซื้อล้วนบอกเป็นเสียงเดียวว่าให้ขายทั้งหมด"

เฉินหมินกระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า "อีกสองวันผมจะไปเบิกเงินเดือนล่วงหน้ามาก่อน รวมกับในบ้านที่พอมีอยู่คาดว่าน่าจะได้สัก 300 หยวน"

อาหู่ พ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วตบไปที่ไหล่ของเขา

"ไหนๆ ก็จะขายที่ดินอยู่แล้ว อย่าได้ไปเบิกล่วงหน้าอะไรเลย เจ้านายอ้วนของเราเป็นคนตระหนี่ขี้เหนียวจะตาย อย่าปล่อยให้เขาหาโอกาสมาเบียดเบียนขูดรีดขูดเนื้อ พี่ขายที่ดินคงได้สัก 2000 หยวน เพียงพอคืนเงินที่ยืมของแกมาร้อยหยวน ส่วนของญาติคนอื่นก็จะคืนให้หมดไปทีเดียว เงินที่ยืมมาจำนวนไม่น้อยแล้ว จะติดค้างเอาไว้นานคงไม่ดี"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง