ทุกคนเงียบไปตามๆ กัน แต่สีหน้าแต่ละคนตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าเก็บกดมานาน จู่ๆ ก็มีสีหน้าสดชื่นเนื่องจากหาทางระบายออกมาได้
เซวียหลิงก็เหมือนกัน
ในใจเธอดีใจมากเลยล่ะ!
โดน "สาวแก่ใจโหด" ขูดรีดมานานมาก ในใจเธอหงุดหงิดแทบตายมานานแล้ว!
แทนที่จะตัวสั่นหวาดกลัวโดนเธอจับผิดทุกวัน สู้ระเบิดสิ่งที่ตัวเองอยากพูด สิ่งที่ไม่พอใจ ระเบิดออกมารวดเดียวทั้งหมดดีกว่า!
เธอคิดไว้แล้ว อย่างมากสุดก็ลาออก!
ยังไงเธอก็ต้องลาออกไม่ช้าก็เร็ว แค่ตอนนี้ลำบากในการหาโอกาสทางธุรกิจ ที่ตัวก็ไม่มีเงินก้อนโต จึงทำได้แค่เป็นบรรณาธิการที่นี่ต่อไป
ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากไป เพราะนอกจาก "สาวแก่ใจโหด" เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ก็อ่อนโยนใจดีมาก ปฏิบัติกับพนักงานใหม่อย่างเธอเป็นอย่างดี
แต่เมื่อกี้เธอเป็นคนจุดไฟก่อน เธอจึงต้องเอ่ยปากก่อน
เธอก้าวไปข้างหน้า อธิบายเหตุการณ์เมื่อกี้โดยละเอียดให้ผอ.หลิวฟังอย่างรวดเร็ว
"ฉันยอมรับฉันมีทัศนคติไม่ดีกับรองผู้อำนวยการ แต่ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เธอพูดจาทำร้ายคนอื่น ด่าฉันว่าอู้งานจนเป็นนิสัย ไม่ให้ฉันพูดคุยกับหวังชิง แถมบอกว่าเราคุยเล่นกัน"
จากนั้นเธอก็ถ่ายทอดสิ่งที่พูดกับรองผู้อำนวยการให้ผอ.หลิวฟังคร่าวๆ
"พอฉันพูดไปแล้ว เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ก็ทยอยคล้อยตาม พวกเขาแค่ไม่ชอบ ถือว่าโดนฉันปลุกระดมแล้วกันค่ะ ถ้าผู้อำนวยการต้องการจะโทษ ก็โทษฉันเถอะค่ะ! จะหักโบนัส หักเงินเดือนยังไง ก็ได้ทั้งนั้น!"
หลิวซินยืนขึ้นมาทันที ยืนตัวตรงพูดเสียงดัง "ผู้อำนวยการ ผมก็ทนรองผู้อำนวยการยกตนข่มท่านไม่ไหวแล้วเหมือนกันครับ! ถ้าผมไม่พูดออกไป ผมต้องเก็บกดตายแน่ๆ! ผมยอมลาออกจากงานนี้ แต่ไม่อยากโดนจับผิดโดนด่าทั้งวันไม่หยุด! รู้สึกไม่มีเกียรติเลยครับ!"
หวังชิงร้องไห้เหมือนดอกสาลี่ต้องหยาดฝน พูดสะอึกสะอื้น "ผู้อำนวยการ......โทษฉันเถอะค่ะ! หิมะตกหนัก รถประจำทางไม่วิ่ง ฉันเดินมาเท้าแข็งไปหมด รองเท้าและถุงเท้าก็เปียก......เซวียหลิงมาประคองฉันผิงไฟ รองผู้อำนวยการเห็นเข้า ก็เลยด่าพวกเรา......ฉันผิดเอง! ฉันเป็นคนทำร้ายเซวียหลิง! คุณอย่าโทษเธอเลยนะคะ!"
บ.ก.ใหญ่หลินที่ใจดีมาตลอดก็โกรธจัด โยนปากกาลงบนโต๊ะ
"ผู้อำนวยการ คุณเป็นคนมีเหตุผล คุณมักสอนให้พวกเราคบกันดีๆ เพื่อนร่วมงานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สนิทและรักกัน แต่ใครบางคนเอาแต่วางมาดผู้นำ ตำหนิดุด่า ดูถูกแรงๆ อยู่บ่อยครั้ง----บรรยากาศมันน่าอึดอัดจริงๆ!"
"ใช่! อึดอัด!"
"ระมัดระวัง กลัวโดนจับมาด่า......"
ผอ.หลิวเห็นว่าอาจจะจุดชนวนความโกรธของทุกคนอีกครั้ง จึงรีบโบกมือปัด
"เอาล่ะๆ! ฉันรู้แล้ว! ทุกคนอย่าทะเลาะกันเลยนะ!"
ทุกคนเงียบสงบ
ผอ.หลิวถอนหายใจยาวเหยียด มองเจินเจินที่อยู่ข้างๆ ด้วยความเหนื่อยใจ
"เสี่ยวเจินเอ๋ย เมื่อกี้เธอก็เห็นแล้ว เพื่อนร่วมงานมีอคติกับเธอมาก! ฉันบอกเธอเป็นการส่วนตัวอยู่บ่อยๆ ว่าให้เธออย่าทำตัวมีอำนาจ ทำหน้าเย็นชาตึงเครียด ก็เพราะหวังดีกับเธอนะ!"
รองผอ.เจินก้มศีรษะลง ทำเสียง "เฮอะ" ด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว และไม่พูดอะไร
ผอ.หลิวเป็นผู้นำระดับสูงสุดได้ ความสามารถในการไกล่เกลี่ยไม่น้อยหน้าอยู่แล้ว
"เอาล่ะๆ! เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องเอะอะโวยวาย ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงานกันหมด ทำงานด้วยกันทุกวัน บางครั้งก็ยากที่จะเลี่ยงความกระทบกระทั่ง เสี่ยวเจินเธอค่อนข้างเข้มงวด แต่เธอก็ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของสำนักพิมพ์เราเหมือนกัน"
เขากวักมือเรียกรองผอ.เจินบอกให้เธอกลับห้องทำงาน
"เมื่อกี้ฉันตำหนิเธอไปแล้ว ต่อไปให้เธอระวังมากขึ้น เสี่ยวเจินเธอสำรวมกิริยา มีความน่าเกรงขาม ทุกคนเลยรู้สึกว่าเธอคบหายาก เธอจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง"
เซวียหลิงยุ่งมาก เพราะเซียวเจียเสวี่ยส่งโทรเลขหาเธอ บอกว่าหนังสืออังกฤษเล่มเล็กที่เธอแปลจะเริ่มพิมพ์หลังปีใหม่ ให้เธออดทนต่อความลำบากหน่อยนะ พยายามแปลให้เสร็จก่อนปีใหม่
จนถึงตอนนี้เธอแปลได้เพียงครึ่งเดียว เหลือมากกว่าครึ่งยังไม่ได้แปล ดังนั้นเธอจึงต้องทำงานล่วงเวลา หาเวลามาแปลให้มากขึ้น
ออกไปทำงานตั้งแต่เช้ากลับมาดึก ตอนกลางคืนยังต้องทำงานพาร์ทไทม์ถึงกลางดึก เซวียหลิงไม่มีเวลาไปสนใจเฉิงเทียนฟางแล้วจริงๆ
ตอนแรกเฉิงเทียนหยวนอยากไปส่งเธอกลับบ้านเกิดเร็วๆ คิดไม่ถึงว่าช่วงนี้หิมะจะตกทุกวัน บนถนนมีหิมะเยอะมาก ขวางถนนที่ไปชนบท ไม่ว่าจะเป็นรถคันใหญ่หรือเกวียนก็ขับไปไม่ได้ ต้องข่มใจ
แต่เขาฟังคำแนะนำของเซวียหลิง คอยเฝ้าดูน้องสาวตัวเองทั้งวัน ไม่อนุญาตให้เธอออกไปไหน
เซวียหลิงหาเบอร์ติดต่อสอบถามของโรงพยาบาลตี้ยีในเมืองได้แล้ว คุยกับหมอเกี่ยวกับอาการพ่อสามีตน หมอบอกว่าหลังผ่าตัดสามารถทำแขนเทียมได้ ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บปวดบาดแผล และสามารถมีแรงทำงานมากขึ้น
หมอยังบอกอีกว่า ไปได้ทุกเมื่อ แค่ต้องตรวจเช็คก่อน จากนั้นก็เตรียมผ่าตัดตามอาการของผู้ป่วย ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัย ก็สามารถผ่าตัดได้ ค่าใช้จ่ายประมาณพันเจ็ดกว่าๆ
เซวียหลิงฟังจบก็ดีใจมาก จากนั้นก็เล่าให้เฉิงเทียนหยวนฟัง
เขาก็มีความสุขมาก พูดขึ้น "รอถนนโล่ง ฉันจะกลับบ้านไปรับพ่อมาทันที สถานีรถที่นี่จะมีรถเข้าเมืองสองวันต่อหนึ่งรอบ ออกเดินทางตอนเช้า แล้วถึงตอนเย็นๆ"
ทั้งสองทำการตัดสินใจ ตั้งใจรอถนนโล่ง พาเฉิงเทียนฟางไปส่ง แล้วรับเฉิงมู่ไห่มา จากนั้นก็ไปผ่าตัดแขนเทียมในเมือง
พักเที่ยงวันหนึ่ง เซวียหลิงเห็นข้างนอกมีแดดแล้ว ก็วิ่งออกไปหาโทรศัพท์สาธารณะโทรไปที่เมืองหลวง
ไม่นานหลังจากนั้น โทรศัพท์ก็เชื่อมต่อ
แม่เซวียเป็นคนรับสาย ตื่นเต้นถามลูกสาวไม่หยุด แล้วถามอีกว่าลูกเขยเป็นยังไงบ้าง
เซวียหลิงตอบทีละคำถาม และถามเกี่ยวกับสุขภาพของพ่อแม่อย่างเป็นห่วง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง