“คุณ- -” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนมองเซียวเซิ่งอย่างไม่พอใจ ปะทะเข้ากับดวงตาที่ลึกซึ้งที่น่าหวาดเกรงเข้าพอดี ห้องหัวใจสั่นเทาขึ้นมา แก้มขาวเนียนก็แดงระเรื่อขึ้นด้วยเช่นกัน
“ผมอะไร หืม?” มุมปากของเซียวเซิ่งปรากฏรอยยิ้มบางๆขึ้น จับเอวบางเธอเอาไว้ น้ำเสียงที่ทุ้มแหบอ่อนโยนน่าหลงใหลเป็นอย่างมาก “มองผมสิ”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนใจอ่อนขึ้นมาอีกครั้ง จับแขนของเขาเอาไว้แน่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แล้วเงยขึ้นมองเขา.....
สบตามองกัน เซียวเซิ่งไม่ได้เห็นความเกลียดชังในดวงตาของเธอ แล้วก้มลงปิดริมฝีปากอันอ่อนหวานของเธอเอาไว้ด้วยใจที่อบอุ่นนุ่มนวล
“ดูแล้ว ‘ความรัก’ล้วนจะต้องทำออกมาสินะ เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน บอกมาว่าคุณชอบถูกผม.....” คำพูดข้างหลังไม่อาจทนฟังได้
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งเยือกเย็น คำพูดแบบไหนก็จะพูดออกมาได้หมดแบบนี้!
เธอกัดริมฝีปากไม่ยอมส่งเสียงออกมา เพียงแค่รองรับเขาเอาไว้เงียบๆเท่านั้น
ความหน้าไม่อายของเขา ทำให้เธออับอายที่จะไปพบเจอผู้คนตลอดชีวิต
ราวกับมองทะลุเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความกระดากอายของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน เซียวเซิ่งจึงอุ้มเธอมาตรงหน้ากระจก “เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน ดูสิว่าพวกเราเหมาะสมกันมากเลยใช่ไหม?”
อา....ผู้ชายคนนี้โรคจิตชะมัด!
เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าเซียวเซิ่งจะไม่มีขอบเขตเลยแบบนี้ รู้สึกอับอายขายหน้าขึ้นมาแล้ว สองมือก็ผลักเขาออก “เซียวเซิ่ง คุณควร.....” ไปขายบริการ
ถ้าหากเขาทำ เธอก็จะเลี้ยงเลย ต่อให้ต้องขายนา ขายที่ ขายเลือด ก็จะเชิญคุณยายอายุแปดสิบขึ้นไปมาดูแลกิจการของเขา เปลี่ยนเขาบ้าง
“ผมควรจะยังไง ไม่ต้องให้คุณมาสอน” รู้ว่าเธอไม่ได้จะพูดดีๆอยู่แล้ว เซียวเซิ่งจึงตัดบทเธอไปเลย ก้มต่ำลงซบลงบนหัวไหล่ของเธอ ลูบไล้เบาๆ
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนสันหลังชาวูบ ความร้อนไหลมาจากทางด้านหลังมาจนถึงปลายนิ้ว ผิวอมชมพูนั้นทำให้ดูพิเศษกว่าคนอื่น
เซียวเซิ่งเห็นแล้วก็เกิดอารมณ์ตื่นขึ้นมา ปากก็พึมพำ “เนี่ยนเอ๋อร์ อยู่กับผมนะ ไม่ต้องไป อย่าไป....หืม?”
“คุณเคยบอกว่าจะปล่อยฉันไป” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนพิงอยู่ตรงคอของเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง พ่นลมหายใจออกมาทางปาก ลมหายใจอ่อนแรงเหมือนกับปลาที่จะขาดอากาศหายใจอย่างไรอย่างนั้น
เขาเคยบอกเอาไว้ ขนตาหนาตกลงมาเบาๆ ปิดกั้นความเศร้าในดวงตาอันเยือกเย็นของเขา แล้วจู่ๆก็เอาเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนยันขึ้นมาแล้วกดไว้ที่กำแพง เหมือนกับปิศาจร้ายที่บ้าคลั่ง
“อ๊ะ.....เซียวเซิ่งหยุดได้แล้ว ฉัน.....” เสียงที่แหบพร่าสั่นเทาอยู่ในอากาศ เหมือนกับทั้งร้องไห้ทั้งบอกให้รู้
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนมาถึงจุดที่จะพังทลายแล้ว แต่เขาดูไม่เหมือนว่าจะหยุดเลยซักนิดเดียว
จนกระทั่งเธอสลบไป เขาก็ไม่หยุดด้วยเช่นกัน แต่อุ้มกลับมาที่เตียงทำให้เธอตื่น แล้วก็ทำต่อ....วนอยู่แบบนี้
คืนนี้ ไม่รู้ว่าเธอตะโกนเรียกชื่อเขาตั้งกี่ครั้ง คาดว่าหลังจากนี้ไปชื่อของเขาจะสลักอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำเธอ และไม่สามารถลบได้อีกแล้วเช่นกัน.....
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว เซียวเซิ่งก็หยิบเสื้อคลุมที่อยู่บนพนักพิงเก้าอี้ขึ้นมาพาดไว้ที่แขน และไม่ได้มองเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน “หลังจากที่ฟ้าสว่างแล้ว คุณก็ไปได้แล้ว”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนพยักหน้าลง แล้วเอ่ยขอบคุณเขาพอเป็นมารยาท
เซียวเซิ่งเม้มริมฝีปากบาง อยากจะพูดอะไร แต่กลับพูดไม่ออกเช่นกัน ยกเท้าเดินไป เบื้องหลังที่สูงตรงหายไปในกลิ่นหอมของดอกไม้ที่มีหมอกรางๆในยามรุ่งสาง.....
ตอนที่ผ่านทุ่งไฮอะซินท์ที่หอมหวนนั้น เซียวเซิ่งก็ชะงักฝีเท้าลง ไฮอะซินท์ที่ปลูกเพื่อเธอได้เบ่งบานเป็นผืนแผ่นที่กว้างใหญ่แล้ว แต่กลับรั้งเธอเอาไว้ไม่ได้.....
ทั้งร่างกายของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนนั้นไม่มีแรงและทั้งรู้สึกเหนื่อย แล้วสะลึมสะลือหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาแปดโมงกว่าแล้ว
มองดูลายแกะสลักอันประณีตงดงามบนเพดาน หลังจากที่เธองุนงงอยู่พักหนึ่งก็ลุกขึ้นมานั่งทันที แล้วมองไปยังรอบๆ
ภายในห้องระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ อากาศด้านในก็ล้วนแต่เป็นความมึนเมาของกลิ่นเลือดที่เข้มข้น รอยจูบที่อยู่เต็มร่างกายนั้นกำลังเตือนเธอว่าเมื่อคืนนี้เป็นความบ้าคลั่งขนาดไหน.....
ใบหน้าของเซียวเซิ่งนั้นไม่แสดงอาการอะไรออกมา ในขณะที่พ่อบ้านเซี่ยมองมานั้น ก็หันหลังกลับไป
“คุณเอี๋ยน ถ้าหากว่าคุณเจอกับความลำบากอะไร จะต้องโทรมาหาลุงนะ ในทุกๆเทศกาลก็มาทักทายกันบ้าง” อาการที่แสดงออกของพ่อบ้านเซี่ยในเวลานี้ยังนับว่าปกติ มีค่าพอที่จะให้ความเคารพ
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนพยักหน้าลง “ลุงเซี่ย ฉันออกไปก็จะซื้อโทรศัพท์มือถือ จะบันทึกเบอร์โทรของลุงไว้เป็นคนแรกเลยค่ะ ลาก่อนนะคะ”
“ลา.....ก่อน” พ่อบ้านเซี่ยโบกมือขึ้นอย่างยากลำบาก
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนเดินไปไม่กี่ก้าว ในใจก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่เล็กน้อย หันหน้ากลับมามองยังตึกนี้อีกครั้ง มีต้นไม้ และยังมีพ่อบ้านสูงวัยที่มีความเมตตาและอ่อนโยนคนนั้น
เธอไม่หันกลับมาก็ช่างแล้ว เห็นว่าเธอหันมา ความคิดที่ไม่ดีของพ่อบ้านเซี่ยก็เกิดขึ้นมา มือกดลงตรงหน้าอกนึกถึงการปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมา....
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนอุ้มโถเล็กสีเขียว แล้วค่อยๆถอยหลังไป ปากก็พูดว่าลาก่อนอีกครั้งหนึ่ง แล้วถึงได้หันหลังไป
แต่วินาทีถัดมานั้นกลับถูกพ่อบ้านเซี่ยรั้งเอาไว้ “คุณเอี๋ยนรอก่อนครับ เสื้อผ้าที่คุณใส่อยู่เป็นของคุณชายของพวกเรา คุณจะใส่ไปไม่ได้”
“อา?” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนไม่เข้าใจ
“เสื้อผ้าคุณจะต้องถอดด้วย” เห้นสายตาที่ดูตกตะลึงของหญิงสาวแล้ว ในใจของพ่อบ้านเซี่ยก็อดที่จะสงสารไม่ได้ แต่เขาก็ไม่มีวิธีอื่น เขาอยากจะรั้งเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนเอาไว้
ก้มลงมองชุดแล้ว ใบหน้าของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนซีดไป กัดมุมปากแน่น ไม่มีเสื้อผ้า จะให้เธอเปลือยกายอย่างนั้นหรอ?
“ถ้าอย่างนั้นพ่อบ้านเซี่ยจะพอให้ฉันยืมชุดคนรับใช้ซักชุดได้ไหมคะ ชุดเก่าก็ได้ เพียงแค่สามารถ--”
“ขอโทษด้วยนะครับคุณเอี๋ยน ผมเองก็อยากจะให้คุณยืมเหมือนกัน แต่ก็ทำไม่ได้ ที่นี่ของเล็กๆน้อยๆทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นทรัพย์สินของคุณชายทั้งนั้น” พ่อบ้านเซี่ยปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา อาการที่แสดงออกบนใบหน้าก็จริงจังเป็นพิเศษ ไม่สามารถต่อรองได้
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนพยักหน้าลง เธฮก็รู้ว่าเซียวเซิ่งคนต่ำช้าหยาบคายคนนี้ไม่ได้จะพูดง่ายๆขนาดนั้น การเล่นแง่แบบนี้ นอกจากสมองเลวร้ายของเขาแล้ว คนอื่นๆก็คิดไม่ออกหรอก.....
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น