เฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่กลางอากาศ ใบหน้าที่เย็นชาของเซียวเซิ่งสวมใส่แว่นกันแดดอยู่ เลนส์แว่นสะท้อนภูเขาขึ้นมา
“ท่านประธานครับ คนของพวกเราแยกย้ายกันออกไปตามหาที่เกาะแล้วครับ” สองมือของโอเล่ย์ถือกล้องส่องทางไกลเอาไว้ แล้วเบนทิศทางไปอย่างต่อเนื่อง “ตอนนี้หวังให้พวกเขาทั้งสองคนถูกพัดไปอยู่ที่เกาะอื่น” ก็ดีกว่าอยู่ในทะเลเป็นอาหารปลาไป
เซียวเซิ่งยกมือขึ้นมา โอเล่ย์รีบเอากล้องส่องทางไกลยื่นส่งในมือเขา
ผ่านทางกล้องส่องทางไกล สามารถมองเห็นเงาคนเล็กๆกำลังเคลื่อนย้ายกันอย่างที่คิดไว้จริงๆ เจ้าหน้าที่ค้นหากู้ภัยทั้งหมดสวมใส่ชุดสีสดที่เป็นสีเตือนให้ระวังภัย ในมือจูงสุนัขพันธุ์ขนาดใหญ่ แลตรงเอวนั้นก็มีเครื่องส่งสัญญาณดาวเทียม ด้านบนหมวกก็มีโทรศัพท์วีดิโอ มีความชำนาญการเป็นอย่างมาก
คลื่นยักษ์ผ่านไปแล้ว ผิวทะเลคลื่นสงนิ่งลงแล้ว สะท้อนท้องฟ้าเมฆขาว ช่างสวยงามมากเป็นพิเศษ
“ลงไปจอดบนเกาะที่เกิดเหตุ” เซียวเซิ่งสั่ง ในดวงตาดำนั้นเผยให้เห็นพลังอำนาจที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ครับ” โอเลย์ตอบรับ มือจับหูฟังแจ้งไปยังเฮลิคอปเตอร์อีกหนึ่งลำ ในนั้นใส่เสบียงอาหาร เต้นท์ อาหารแห้ง น้ำ เอาไว้เต็มไปหมด....แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงกลิ่นอายที่เศร้าสลด “ลมพัดเย็น สายธาราอันหนาวสั่น ผู้กล้าไปแล้วไม่หวนกลับ”
เซียวเซิ่งอยู่ในชุดผู้ป่วยลายทางสีฟ้าอ่อน รูปร่างสูง ท่านั่งง่ายๆที่ดูเงียบสงบ ในมือถือกล้องส่องทางไกล แขนเสื้อดูสวยงาม พลังที่ดูแข็งแกร่งไม่เหมือนกับคนป่วยเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เขาก็เป็นคนป่วยจริงๆ คนป่วยที่ยังไม่หาย! เซียวเซิ่งป่วยอยู่นี้ คนที่เป็นทุกข์มากที่สุดก็คือโอเล่ย์ ในใจของเขารู้สึกแย่มาก ตลอดทางฝืนทนกับความรู้สึกที่เจ็บปวดเอาไว้
เอี๋ยนต้าฟาพบกับอันตรายไม่สามารถโทษทานประธานได้เลย คลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันไม่ใช่สิ่งที่คนจะควบคุมได้ แล้วอีกอย่างถึงแม้ว่าท่านประธานไม่ให้แม่ลูกเจอหน้ากัน แต่เขาก็รักเอี๋ยนต้าฟามาก รักมากกว่าลูกชายแท้ๆเสียอีก....
ไม่ว่าจะหาตัวเอี๋ยนต้าฟากลับมาได้หรือไม่นั้น หวังเพียงว่าเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนจะไม่ถือโทษ ท่านประธานพยายามเต็มที่แล้ว จากแรงและกำลังนี้ จะสามารถมีชีวิตกลับไปได้หรือเปล่านั้นก็ยังไม่แน่เลยด้วย!
เฮลิคอปเตอร์จอดลงอย่างช้าๆ ยังไม่ถึงพื้น เซียวเซิ่งก็เหมือนเมื่อก่อน กระโดดลงมาด้วยท่าทางที่สง่างามเป็นอย่างมาก....
โอเล่ย์ตกใจเสียจนหัวใจจะเต้นออกมาอยู่แล้ว อดที่จะปิดตาไม่ได้ เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ หลังจากนี้ ตุบ! ท่าทางที่ดูจนตรอกล้มลงบนพื้น มือเรียวจับอยู่ตรงหน้าอกที่รู้สึกเจ็บขึ้นมา สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
รู้สึกสงสารท่านประธานไปหนึ่งวินาที แต่เขาก็จำเป็นจะต้องทำงานต่อ วิเคราะห์ทิศทางที่เอี๋ยนต้าฟากับเย่เฟิงจะไป คนอื่นๆก็ไม่มีกำลังสมองจริงๆ
เซียวเซิ่งยืนลุกขึ้นยืนนิ่งๆ มองไปรอบๆดินเลนที่อยู่เต็มเกาะ นึกไปถึงว่าเอี๋ยนต้าฟาถูกน้ำทะเลกลืนกินเข้าไปแล้ว หัวใจของเขาก็เหมือนกับแตกสลายไปทีละนิดๆ
ถ้าหากไม่มีคลื่นยักษ์ พวกเขาครอบครัวสามคนตอนนี้จะกำลังทำอะไรอยู่กัน? กินข้าว ดูหนัง เดินเล่น พูดคุยเล่นกัน หรือเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนจะร่วมมือกับลูกชายเล่นกับเขา....มีความสุขมาก
แต่ในโลกนี้มีสิ่งที่ไม่เป็นไปตามปรารถนามากมายเหลือเกิน การกลับมาพบกันอีก แล้วก็สูญเสียไปอีกหนึ่งคน น่าเสียดายจริงๆ!
“เอี๋ยนต้าฟา แด๊ดดี้จะต้องพาหนูกลับไปให้ได้.....” เซียวเซิ่งนั่งลง เก็บเปลือกหอยมากำเอาไว้ในมือ ใช้แรงกำเอาไว้ สัมผัสกับความสะใจที่ได้รับจากการทิ่มที่ฝ่ามือ
แต่แววตานั้นกลับเย็นชาเล็กน้อย เขาเอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน ผมไม่ติดค้างอะไรคุณ! คุณกล้าอาศัยช่วงที่ผมไม่อยู่ยั่วยวนผู้ชายล่ะก็ กลับไปผมจะไปจัดการคุณเหมือนเดิม”
หุบเขาที่จงโจวนี้มีเกาะร้างเล็กๆอยู่นับไม่ถ้วน
เดิมทีบนเกาะมีคนอยู่ แต่ถึงตอนช่วงปี1990 ชีวิตที่รุ่งเรืองของชาวประมงก็ยังคงย้ายถิ่นไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอย่างต่อเนื่อง ที่นี่จึงกลายเป็นเกาะร้าง อาคารบ้านเรือนบนเกาะนั้นยังอยู่ แม้กระทั่งสัญญาณก็ยังสมบูรณ์แบบอีกด้วย สามารถโทรศัพท์ได้ สภาพแวดล้อมก็ยังเงียบเป็นพิเศษอีกด้วย
เย่เฟิงกับเอี๋ยนต้าฟาลุงกับหลานทั้งสองคนถูกใจกับชนบทที่ไม่มีคนพักอยู่แบบนี้ ขณะที่มีความกล้าที่จะทดสอบในบ้านผีสิงห์นี้ ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว?
แม้กระทั่งก่อนจะเกิดเรื่องหนึ่งวินาที เอี๋ยนต้าฟายังโทรวีดิโอคอลกับแด๊ดดี้อยู่เลยอีกด้วย.....
โรงพยาบาลประชาชนเขตจินเจียง
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนต่อแถวจ่ายค่าธรรมเนียมในการรักษา จู่ๆเธอก็รู้สึกหนาวขึ้นมาแปลกๆ สันหลังเย็นวูบขึ้นมา ในใจรู้สึกอึดอัด
เห็นว่าแถวยังยาวอยู่ เธอก็ถอนหายใจออกมา ในหัวก็ยังครุ่นคิดว่าสรุปแล้วจะกลับไปหาเซียวเซิ่งไปเอาตัวเอี๋ยนต้าฟากลับมาดีหรือว่าจะไปเจอสวี่เจียนคุยกับเขาให้ชัดเจนก่อนดี?
เพราะถึงอย่างไรตัวเองในตอนนี้ ก็ไม่คู่ควรกับสวี่เจียนแล้ว อีกทั้งต่อให้จะคู่ควร ก็จะต้องหย่ากับเซียวเซิ่งกันอยู่ดี....
“คุณผู้หญิงครับ เขยิบไปข้างหน้าหน่อยได้ไหมครับ?” ทางด้านหลังมีผู้ชายคนหนึ่งพูดเตือนเธออย่างมีมารยาทด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง
“พรืด!” อานฉุนซีกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ จ้องมองกระบนจมูกของเธออยากหยอกล้อ “นี่ๆๆ เธอก็คุกกี้งา ยังจะมาเรียกฉันว่าหน้าลายอีกเหรอ?”
“ฉันไปเป็นคุกกี้งาได้ยังไง?” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนลูบกระบนจมูก “คุกกี้บ้านนายมีงาแค่เม็ดเดียวงั้นเหรอ? ขี้เหนียวเกินไปแล้ว?”
“ถ้าอย่างนั้นเธอไม่ใช่คุกกี้งาแล้วคืออะไร?” อานฉุนซีมองเธออย่างเอ็นดู ดวงตาเป็นประกายสว่างไสว ทุกๆการเคลื่อนไหวแสดงให้เห็นกลิ่นอายของความรักได้อย่างชัดเจน
ใช่แล้ว หัวใจที่นิ่งไม่มีคลื่นในบ่อโบราณของเขา เห็นเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนแล้วก็มีคลื่นกระหน่ำขึ้นมาแล้ว!
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนเกาหัวอย่างน่ารักไร้เดียงสา “อย่างน้อยๆก็เป็นเต้าหู้หมาโผแล้วกัน”
กับบทสนทนานี้ดูแล้วปัญญาอ่อนไปบ้าง ความจริงแล้วบทสนทนาเมื่อสี่ปีก่อนกำลังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง ความจริงแล้วความทรงจำในตอนเด็กๆนั้นงดงามมากจริงๆ!
หัวใจของอานฉุนซีถูกเธอละลายแล้ว “ทั้งคุกกี้ ทั้งเต้าหู้ พูดมาจนฉันหิวแล้ว เสี่ยวเนี่ยนตอนกลางวัน - -”
“อา พวกคุณสองคนจะจ่ายเงินกันหรือเปล่า?” คนเก็บเงินจู่ๆก็เคาะกระจก เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนถึงได้รู้ว่าถึงคิวเธอแล้ว
อยู่กับอานฉุนซีมีความสุขขนาดนี้เลยใช่ไหม? หรือบางทีเป็นเพราะตอนที่พวกเขารู้จักกัน เธอยังไม่เกิดเรื่องขึ้น แม้วันเวลาจะยากลำบากแต่กลับไม่มีความกังวล เทียบกับสิ่งที่เจอหลังจากนี้ ในตอนนั้นนับว่ามีความสุขมากจริงๆ
“ฉันเอง” อานฉุนซีหยิบเอาบิลและบัตรในมือของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนมา แล้วจ่ายไปพร้อมกับบัตรทองของตัวเอง
“อา ไม่ต้องหรอก” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนดึงเขาไว้ เอ่ยพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “ทำไมนายเป็นแบบนี้ล่ะ แม้แต่ไม่สบายก็จะต้องเลี้ยงด้วยเหรอ?”
“ใช่ ฉันเลี้ยงเอง” อานฉุนซียิ้มอย่างสง่างาม ร่างสูงใหญ่ขวางหน้าต่างเอาไว้มิด ด้วยท่าทางที่ยินดีจะจ่ายเงินให้แบบนั้น
ในใจของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาแปลกๆ บางทีความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้หญิงก็คือตอนที่จ่ายเงินแล้วผู้ชายพูดว่า “มาผมเอง”นี่แหล่ะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น