นักพรตจินบัดนี้เสมือนผู้กอบกู้ในสายตาของซูซืออวี้เขาว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น
หลังจากทำความเข้าใจสถานการณ์ของซูหว่านเอ้อร์แล้ว นักพรตจินก็ขมวดคิ้วขึ้นว่า "นายท่านซู เรื่องนี้ยากมากทีเดียว......"
หัวใจของซูซืออวี้เกร็งขึ้นมาทันใด "นักพรตจิน ท่านหมายความว่าอย่างไร?"
"คุณหนูรองถูกสิ่งชั่วร้ายเข้าครอบงำ ข้าทำพิธีทั้งวันทั้งคืนแม้ในที่สุดจะดีขึ้นบ้าง แต่เมื่อวานนี้คุณหนูรองได้ก่ออาชญากรรมขึ้นอีกครั้ง ทำให้เวรกรรมเพิ่มมากขึ้น นี่มัน......มิง่ายที่จะรับมือ"
ซูซืออวี้แอบด่าซูหว่านเอ้อร์อยู่ในใจว่า "บัดซบ!"
"ท่านนักพรตจิน ท่านเป็นผู้ที่มีพลังเวทมนตร์ ได้โปรดช่วยหาวิธีด้วยเถิด" เขากล่าวและหยิบธนบัตรสองสามใบยื่นไปให้ด้วยมือทั้งสองข้าง "ขอท่านรับไว้เป็นสินน้ำใจ"
นักพรตจินดูสีหน้าอึดอัดใจเล็กน้อย เขานำมือลูบเคราที่คางแล้วส่ายหัวถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆซูซืออวี้ก็รีบยัดธนบัตรเข้าไปไว้ในมือ "ท่านนักพรต โปรดช่วยข้าด้วย หากมีความต้องการใด ๆได้โปรดอย่าลังเลที่จะกล่าว"
นักพรตจินทำอะไรมิถูก เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย "เฮ้อ ช่างเถิด จะว่าไปแล้วเรื่องต่างๆกลายมาเป็นเช่นนี้ไปแล้ว จะแก้ไขก็คงยากยิ่ง หากเปลี่ยนแปลงชะตามากเกินไปข้าเองก็ลำบากมากขึ้นเท่านั้น แต่......เอาเถิด ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องใหญ่ ช่วยคนหนึ่งชีวิต ยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ข้าจะลองดู!"
เมื่อเห็นเช่นนั้นซูซืออวี้ก็โล่งใจและรีบลุกขึ้นคำนับ "ขอบคุณท่านนักพรตจินยิ่งนัก ข้าต้องขอฝากด้วย"
นักพรตจินลุกขึ้นปัดฝุ่นแล้วหันหลังกลับไปเตรียมของเพื่อเปิดแท่นบูชา ทุกอย่างจัดเตรียมได้อย่างรวดเร็ว มิเพียงแต่เรือนของซูหว่านเอ้อร์ ด้านนอกลานก็เต็มไปด้วยควัน แม้แต่ห้องก็เต็มไปด้วยฝุ่น กระดาษยันต์จำนวนมากถูกนำมาแปะไว้
ซูหว่านเอ้อร์มิเต็มใจที่จะร่วมมือในตอนแรก นางร้องไห้และล้มลง แต่น่าแปลกนักหลังจากที่นักพรตจินวางเครื่องรางไว้ในห้องของนางแล้วโปรยขี้เถ้า นางก็เงียบลงมากและในที่สุดก็ล้มตัวนอนลง เมื่อนางผล็อยหลับไป ในที่สุดซูซืออวี้และแม่บ้านทั้งหลายก็โล่งใจ และพวกเขารู้สึกว่านักพรตจินมีพลังเวทมนตร์มากมายเหลือเกิน
หลังจากเสร็จพิธี นักพรตจินก็ปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก แสดงให้เห็นว่าเขาใช้พลังงานมากมายเกินกำลัง และต้องการกลับไปพักผ่อนที่เรือน
เพราะเขาทำสิ่งนี้อยู่เป็นเวลาหลายวัน ซูซืออวี้จึงจัดหาเรือนอันเงียบสงบให้เขาพักผ่อน ซูซืออวี้รีบสั่งให้บ่าวรับใช้ส่งเขากลับไป นักพรตจินโบกมือกล่าวว่า "มิต้อง ข้าต้องการฟื้นฟูพลังเสียหน่อย หากมิมีเรื่องอื่นใดสำคัญ จงอย่าได้ไปรบกวนข้า"
ซูซืออวี้รีบตอบรับและสั่งมิให้ทุกคนไปหานักพรตจินหากมิจำเป็น
นักพรตจินเดินมองซ้ายขวา เมื่อมิพบใครเขาจึงหันไปทางเรือนของซูหนานอี
เสี่ยวเถารีบไปที่เรือนเพื่อรายงาน พบว่าซูหนานอีกำลังอ่านหนังสือท่องเที่ยวและเหมือนมองเห็นสถานที่ที่น่าสนใจ "ปล่อยให้เขารอไปก่อน"
"เจ้าค่ะ"
นักพรตจินมิได้คำตอบเขาเองก็มิกล้าจะขยับจึงทำได้เพียงแค่รออยู่ที่ลาน เมื่อครู่มัววุ่นอยู่กับการทำพิธี เขายังมิได้กินอะไรเลย บัดนี้เขาร้อนและหิวมาก เหงื่อที่หน้าผากไหลลงมาและตาลาย
เสี่ยวเถารู้สึกสงสัยยิ่ง ทุกคนในจวนนี้ให้เกียรตินักพรตจิน แต่คุณหนูของนางมิเพียงแต่มิให้เกียรติ อีกทั้งยังมิเกรงใจแม้แต่น้อย
หลังจากรออยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่นักพรตจินจะเป็นลม ซูหนานอีก็เดินออกมาจากข้างใน
เสี่ยวเถายกเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมาให้นางและจัดโต๊ะเล็กๆต้อนรับ มีผลไม้สดอันสดชื่นอยู่สองสามจานวางบนโต๊ะ ซูหนานอีกำลังนั่งดื่มชาหอมๆอย่างสบายอารมณ์
นักพรตจินกลืนน้ำลายของเขาและเม้มริมฝีปากอันแตกร้าวของตน "คุณหนูจะเอ่ยถามเรื่องตระกูลหลี่งั้นหรือ?"
ซูหนานอีถามกลับว่า "ซูหว่านเอ้อร์เป็นอย่างไรบ้าง?"
"สิ่งชั่วร้ายที่เข้าสิงตัวนางนั้นยังมิถูกกำจัดไป ประกอบกับการฆ่าคนเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุผลนี้ข้าเกรงว่าจะมิหายได้ง่ายๆ"
นักพรตจินกล่าวพลางสังเกตการแสดงออกของซูหนานอี เขาคิดว่าซูหนานอีควรจะพอใจกับผลลัพธ์นี้
แต่สีหน้าของซูหนานอีดูเป็นปกติ นางมิได้มองเขาเลยด้วยซ้ำ นางได้แต่ก้มหน้าลงดื่มชา น้ำเสียงของนางกล่าวเบาๆว่า "หากเป็นเช่นนี้ ภายในสองสามปีนางคงยากที่จะออกเรือนใช่หรือไม่?"
นักพรตจินกลืนน้ำลายเบาๆ "ขอรับ"
"อืม" ซูหนานอีเลิกคิ้วขึ้น "การติดตามตำแหน่งของคุณหนูหลี่ได้เรื่องแล้วหรือยัง?"
ระหว่างทาง พวกนางได้แวะซื้อขนมพลางกินพลางสนทนา เสี่ยวเถาคิดอยู่ในใจว่าชีวิตเช่นนี้ดีจริงๆ ก่อนหน้านั้นนางมิค่อยได้ออกไปไหนเลย บัดนี้นางมักจะออกไปกับคุณหนูและมีความรู้มากกว่าเดิม โดยรวมก็คือชีวิตสนุกสนานกว่าเมื่อก่อนมาก
ซูหนานอีมองนางและหัวเราะเบาๆ "ไปวัดเจ้าแม่กวนอิมที่นอกเมือง ข้าได้ยินมาว่าไปบนขอคู่ครองที่นี่ได้ผลนัก ข้าจะไปขอให้เจ้า เจ้าจะได้รีบออกเรือนไปเสีย"
เมื่อเสี่ยวเถาได้ยินดังนี้ ขนมในมือของนางก็ตกลงไป "คุณหนูเจ้าคะ! บ่าวมิอยากไปอยู่บ้านสามี บ่าวต้องการอยู่กับคุณหนูไปตลอดชีวิต"
"จริงหรือ?"
เสี่ยวเถาพยักหน้าอย่างหนักแน่น "แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ เสี่ยวเถาภักดีต่อคุณหนู มิมีผู้ใดมาเทียบได้!"
ซูหนานอีเพียงล้อนางเล่น มิคิดว่านางจะจริงจัง ทำให้นางอดคิดถึงนวกเอ๋อมิได้ เด็กคนนั้นก็จงรักภักดีต่อนางมากเช่นกัน
"เสี่ยวเถาน้อย ความจงรักภักดีมิจำเป็นต้องนำชีวิตของเจ้าทั้งชีวิตเข้าแลก เอาล่ะ เรามิกล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าล้อเล่นนะ"
เสี่ยวเถาขมวดคิ้วและนำขนมหวานใส่ปาก "หึ! บัดนี้คุณหนูช่างเจ้าเล่ห์ขึ้นมาก แกล้งคนอื่นเป็นด้วยหรือนี่เจ้าคะ"
นายและบ่าวทั้งสองพากันหัวเราะสนุกสนาน ในมิช้าก็มาถึงด้านหน้าวัดเจ้าแม่กวนอิม
เครื่องหอมที่นี่ดูแย่กว่าของวัดซ่างหลิน วัชพืชบนถนนที่ภูเขาเติบโตสูงทึบ แผ่นหินถูกปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำ แผ่นป้ายโลหะมิมีความมันวาว ดูทรุดโทรมเล็กน้อย
ซูหนานอีมิได้มาที่นี่เพื่อถวายเครื่องหอม แต่มาเพื่อสักการะเจ้าแม่กวนอิมผู้มีเมตตากรุณา นางยังคงคุกเข่าอ้อนวอนขอให้ปกป้องพ่อแม่ของนางด้วย
เสี่ยวเถาช่วยพยุงนางลุกขึ้น นางมองไปรอบๆแล้วกล่าวว่า "เจ้าไปเถิด ดูสิว่ามีอะไรน่าสนุกบ้าง ข้าจะไปเดินเล่นเอง แล้วเจอกันที่รถม้าในอีกครึ่งชั่วโมง"
เดิมทีเสี่ยวเถาอยากจะตามนางไป แต่รู้สึกว่าคุณหนูดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ต้องทำ ดังนั้นนางจึงพยักหน้าและเดินออกไป
ซูหนานอีก้าวออกจากห้องโถงใหญ่ นางสวมผ้าคลุมหน้าแล้วเดินออกจากประตูด้านหลัง พบว่ามีคนสองคนยืนอยู่ตรงก้อนหินใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปมิไกลนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ