หลิวหมิงจ้องมองหยุนชาง เขาเงียบไปอยู่นานก่อนจะเอ่ยว่า "พระชายากล่าวมาเถอะ ในเมื่อตอนนี้ป้ายคำสั่งเคลื่อนพลราชองครักษ์อยู่ในมือของท่าน และท่านก็มาถึงที่นี่แล้ว ก็ไม่มีเรื่องเต็มใจหรือไม่เต็มใจให้เอ่ยถึงอีก"
หยุนชางยิ้มบางๆ และพยักหน้า นางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้หลิวหมิงฟังโดยละเอียดและหยิบแผนที่ที่ลั่วชิงเหยียนทิ้งไว้มอบให้หลิวหมิงดู "ทหารขององค์หญิงใหญ่ถูกไว้เป็นกว่าสิบกองซ่อนตัวอยู่ตามสถานที่เหล่านี้ แต่ละแห่งมีกำลังพลราวสองถึงสามหมื่นคน ระหว่างสถานที่เหล่านี้ก็มีการติดต่อกัน เมื่อมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นพวกเขาจะส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ในจุดอื่นสามารถมาช่วยเหลือได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีคนมากพอที่จะล้อมจุดเหล่านี้ได้พร้อมๆ กันและทำลายพวกมันทั้งหมดในคราวเดียว"
หลิวหมิงไม่ได้ตอบรับ เขาลากนิ้วผ่านแผนที่ สายตาของเขาจดจ่ออยู่บนแผนที่นั้นอยู่นานก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น "มันคงจะดีที่สุดถ้าเราจะสามารถทำลายพวกเขาได้ในคราวเดียว แต่หากทำไม่ได้เราก็ต้องพยายามขัดขวางไม่ให้พวกเขาส่งสัญญาณให้กัน เช่นนั้นเราจึงจะสามารถซื้อเวลาให้แก่ทหารของเราได้"
เมื่อหลิวหมิงพูดจบก็หันไปมองหยุนชาง นัยน์ตาของเขาแฝงแววประเมินเล็กน้อย "แผนที่นี้อยู่ที่นี่ พระชายาอธิบายหน่อยเถิดว่าหากท่านเป็นองค์หญิงใหญ่ ท่านจะส่งสัญญาณด้วยวิธีใดที่จะทำให้คนที่จุดอื่นมองเห็นได้พร้อมกัน?"
หยุนชางเลิกคิ้วขึ้นและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย หลิวหมิงก็ไม่ยอมเสียเปรียบเช่นกัน เมื่อครู่นางแสดงป้ายคำสั่งให้เขาโยกย้ายกำลังทหารอวี้หลิน เขาก็เกรงใจนางมากแล้ว ด้วยเพราะเกรงอำนาจป้ายคำสั่งในมือนางแต่เขาไม่ได้เชื่อฟังนาง ครั้งนี้เขาจึงทดสอบนางเพื่อดูว่านางมีความสามารถที่จะทำให้หัวใจของทหารอวี้หลินยอมจำนนได้หรือไม่
หยุนชางมองดูแผนที่ นางดูแผนที่นี้มานับครั้งไม่ถ้วนจนแทบจะจดจำมันได้แล้ว เพียงแต่นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทหารขององค์หญิงใหญ่ติดต่อกันอย่างไร
หากเป็นวิธีการติดต่อกันอย่างธรรมดาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าสัญญาณพลุ จดหมาย นกพิราบหรือเสียงพิเศษที่นางใช้ติดต่อกับสายลับ เพียงแต่สัญญาณเหล่านี้มีข้อจำกัด หากจุดพลุในเวลากลางวันก็แทบจะไม่มีใครเห็นได้ การส่งจดหมายและนกพิราบก็ใช้เวลานาน ส่วนสัญญาณเสียงนั้นก็ต้องอยู่ใกล้พอที่จะได้ยิน
แน่นอนว่าไม่มีทางใดที่ทหารขององค์หญิงใหญ่จะติดต่อกันได้เลย
หยุนชางมองดูจุดที่ลั่วชิงเหยียนทำเครื่องหมายไว้อย่างละเอียด จุดเหล่านั้นไม่เป็นระเบียบและกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณใกล้เคียงของสำนักเชียนโฝ
มือของหยุนชางสั่นเล็กน้อย เมื่อครู่นางคิดอะไรได้? จุดเหล่านี้กระจายอยู่รอบสำนักเชียนโฝ หยุนชางหรี่ตาลง อาจเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่มักจะใช้ข้อที่ว่านางเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในสำนักเชียนโฝ ดังนั้นกำลังพลเหล่านี้จึงถูกซ่อนไว้บริเวณรอบสำนักเชียนโฝ
มือของหยุนชางแตะลงที่จุดถัดจากสำนักเชียนโฝแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นที่มุมปาก นางเงยหน้าขึ้นและเอ่ยว่า "ข้ารู้แล้ว"
"หือ?" หลิวหมิงที่เดิมจ้องอยู่ที่ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ เมื่อได้ยินเสียงของหยุนชางก็รีบหันมามองนาง "พระชายาโปรดว่ามาเถิด"
หยุนชางยิ้มและชี้ไปยังจุดที่อยู่ใกล้กับสำนักเชียนโฝ น้ำเสียงของนางนุ่มนวลแต่กลับแฝงไปด้วยความมั่นใจ "นี่คือจุดที่ใกล้กับสำนักเชียนโฝ เมื่อครู่ข้าพบว่าแม้ว่าจุดอื่นๆ จะดูไร้ระเบียบแบบแผน แต่กลับอาศัยจุดนี้เป็นจุดศูนย์กลางกระจายกำลังออกไปทั่วทั้งใกล้ไกล นอกจากนี้ข้ายังพบว่าสำนักเชียนโฝสร้างอยู่บนยอดเขาของเขากิเลน และเขากิเลนนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่เหล่านี้ซึ่งมีทหารซ่อนอยู่ การอยู่ในที่สูงย่อมได้เปรียบเพราะสามารถมองเห็นที่ต่ำโดยรอบได้และคนจากที่ต่ำกว่าโดยรอบก็สามารถมองเห็นเขานี้ได้ด้วยเช่นกัน"
หลิวหมิงพยักหน้า "เป็นความจริงดังที่พระชายาว่า เพียงแต่พระชายายังไม่ได้บอกข้าว่าพวกเขาสื่อสารกันอย่างไร"
"ไฟสัญญาณ" หยุนชางยิ้มบางๆ ใบหน้าสงบนิ่งด้วยความมั่นใจ "ที่จริงแล้วไฟสัญญาณนั้นถูกใช้ในสนามรบอย่างแพร่หลาย หากจุดใดถูกโจมตี ในเวลากลางวันให้จุดกิ่งไม้เปียกก็จะทำให้เกิดควันหนา หากเป็นกลางคืนใช้กิ่งไม้แห้งก็จะเกิดไฟขึ้น เมื่อจุดอื่นเห็นสัญญาณไฟจากบนภูเขากิเลนก็ย่อมรู้ได้ว่าเกิดเหตุขึ้นแล้ว หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่จุดใดก็เพียงจุดสัญญาณไฟ ผู้ที่อยู่บนเขากิเลนก็จะสังเกตเห็นและส่งสัญญาณต่อไปยังจุดอื่นๆ ทุกคนก็จะรู้เรื่อง"
หลิวหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มบางๆ "ข้าเคยนึกมาตลอดว่าพระชายาที่อยู่นอกจิ้งหยางและคังหยางมาตลอดที่ถึงกับสามารถทำให้กุนซือหลิ่วแห่งแคว้นเซี่ยผู้เชี่ยวชาญในการวางกลยุทธ์การรบพ่ายแพ้นั้นจะเป็นเพียงข่าวลือเกินจริง แต่เมื่อดูความสามารถและการรับมือของพระชายาแล้วกลับทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจนัก"
ดวงตาของหยุนชางยังคงเยือกเย็น นางเอ่ยถามหลิวหมิงยิ้มๆ "เช่นนั้นผู้บัญชาการหลิวยินดีช่วยเหลือข้าหรือไม่?"
หลิวหมิงคุกเข่าลงข้างหนึ่งประสานมือคารวะหยุนชาง "ข้าน้อยน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ"
หยุนชางรับคำเบาๆ และรู้สึกว่าศีรษะของนางหนักอึ้งเล็กน้อย ดวงตาของนางไม่สามารถลืมเปิดได้อีกและผล็อยหลับไปในที่สุด
เมื่อตื่นขึ้นก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว หยุนชางแหวกม่านออก แต่กลับไม่เห็นเฉี่ยนหลิ่วและเฉี่ยนจั๋วจึงตะโกนเบาๆ เฉี่ยนหลิ่วจึงเปิดประตูเดินเข้ามา
"พระชายาตื่นแล้วหรือ?" เฉี่ยนหลิ่วยิ้มกว้างและหยิบเสื้อผ้ามาให้หยุนชางสวม "นี่เป็นเสื้อผ้าที่พี่เฉียนสุ่ยเตรียมไว้ให้พระชายาโดยเฉพาะ ไม่เหมือนเสื้อคลุมแขนเสื้อใหญ่ๆ ที่สวมในยามปกติ ชุดนี้เบาและเคลื่อนไหวสะดวกเพคะ"
หยุนชางอึ้งไปแล้วจึงยิ้ม "ในเวลาเช่นนี้ข้าสวมเสื้อผ้าบุรุษดีกว่า"
เฉี่ยนหลิ่วตกตะลึงก่อนจะตบหัวตนเองและกล่าวว่า "หม่อมฉันลืมไปเสียสนิทเลยว่าพี่เฉี่ยนอินเคยบอกไว้ว่าพระชายาชอบสวมชุดบุรุษยามออกไปทำธุระข้างนอก หม่อมฉันจะไปเตรียมมาเดี๋ยวนี้ ข้างนอกหนาว พระชายากลับไปนอนรอบนเตียงก่อนเถอะเพคะ"
เมื่อเฉี่ยนหลิ่วเดินออกไปเฉี่ยนจั๋วก็เดินเข้ามา "วันนี้สาวใช้เหล่านั้นบอกว่าเมื่อวานตอนบ่ายหลิ่วฮูหยินมาเยี่ยมพระชายา พ่อบ้านบอกว่าพระชายากำลังนอนกลางวันอยู่และหมอกำชับว่าไม่ให้พระชายาลุกจากเตียงตามใจชอบเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนครรภ์ หลิ่วฮูหยินจึงนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกชั่วครู่แล้วจึงจากไปเพคะ"
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วและหันศีรษะไปมองเฉี่ยนจั๋ว "หลิ่วฮูหยิน? ข้าไม่เคยสนิทสนมกับนาง เหตุใดนางจึงมาเยี่ยมข้าถึงจวนได้?"
หยุนชางนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า "ระยะนี้จับตาดูจวนหลิ่วอย่าให้คลาดสายตา หากมีอะไรผิดปกติก็ให้สายลับมารายงานทันที"
เฉี่ยนจั๋วพยักหน้ารับและกล่าวอีกครั้ง "หม่อมฉันได้ยินข่าวลือมากมายตามท้องถนนเกี่ยวกับฝ่าบาท บ้างก็ว่าฝ่าบาททรงประชวรหนักจนแทบไม่ไหวแล้ว บ้างก็ว่าฝ่าบาทหายตัวไปเกรงว่าจะท่าไม่ดีเสียแล้ว เพราะข่าวลือเหล่านี้ทำให้จิตใจผู้คนระส่ำระสายไปทั่ว เหล่าขุนนางก็ไปมาหาสู่กันบ่อยมากเช่นกัน..."
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...