ลั่วชิงเหยียนยิ้มร่าและหัวเราะออกมา "เห็นทำตัวอ่อนโยนและใจดี แต่พอได้ลงมือขึ้นมาก็ใจเด็ดใช้ได้เลยนะ ฮ่าๆ......" แล้วเขาก็มองดูหยุนชางพร้อมพูดต่อไปว่า "แค่คนเดียวก็วุ่นวายอยู่แล้วไม่ถูกหรือ แต่ละวันไม่ว่าจะทำอะไร ก็มักจะฉุกคิดขึ้นมาอยู่บ่อยๆ ข้ามักจะคิดว่า เฮ่อ ชางเอ๋อร์ของข้ากำลังทำอะไรอยู่นะ นางจะคิดถึงข้าหรือเปล่า? เมื่ออยู่ไกลกันก็ต้องคอยห่วงหา ชางเอ๋อร์ของข้าตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ ลูกในท้องทำให้เจ้าไม่สบายตัวหรือเปล่า เจ้าว่าจริงไหมล่ะ?"
เมื่อหยุนชางได้ฟังก็อมยิ้มขึ้นมาในทันที "เชอะ แล้วอย่างไรล่ะ ยังกล้าบ่นอยู่อีกหรือเพคะ?"
ลั่วชิงเหยียนรีบส่ายหน้าในทันที "ภรรยาที่รัก สามีไม่กล้าแล้วจ้ะ"
เมื่อพูดจบ เขาก็เอื้อมมือมาลูบท้องของหยุนชาง สีหน้าของเขาอ่อนโยน "อีก 2 เดือน เด็กคนนี้ก็จะออกมาแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้สั่งให้สายลับไปเสาะหาช่างไม้ฝีมือดีในเมืองจิ่น ข้าอยากให้เขามาทำเตียงเล็กๆให้กับลูกของเรา แล้วให้แม่นมมาพักที่ห้องข้างๆ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าเด็ก ก็ให้หามาเพิ่มอีก ข้าได้ยินขันทีพูดกันว่า เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว ให้คล้องสร้อยแผ่นทองคำไว้ จะช่วยป้องกันภัยให้กับเด็กได้"
หยุนชางทั้งอยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน นางรีบตอบไปว่า "ของพวกนี้ล้วนเตรียมพร้อมเอาไว้ครบแล้วเพคะ ท่านอ๋องไม่ต้องทรงเป็นกังวลนะเพคะ"
ลั่วชิงเหยียนนิ่งไปสักพัก ก่อนจะเอามือขึ้นมาเกาศีรษะ "ลำบากชางเอ๋อร์จริงๆ นี่เป็นสิ่งที่ผู้เป็นพ่ออย่างข้าควรจะดูแลใส่ใจ แต่ข้ากลับไม่ค่อยได้อยู่เป็นเพื่อนเจ้ากับลูกเลย"
หยุนชางยิ้มด้วยความสุขใจ "ใครจะเป็นคนเตรียมก็ไม่สำคัญหรอกเพคะ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน หม่อมฉันและลูกก็รับรู้อยู่ตลอดเวลาว่าพระทัยของท่านได้พันผูกกับเราเอาไว้ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วเพคะ"
เมื่อลั่วชิงเหยียนได้ฟังแล้ว เขาก็จูบหยุนชางเบาๆ พลางยิ้มและพูดขึ้นมาว่า "ชาติที่แล้วข้าคงทำบุญเอาไว้มาก จึงได้เจ้ามาเป็นคู่ชีวิต"
หยุนชางยิ้ม นางกำลังครุ่นคิดไปถึงจุดจบของลั่วชิงเหยียนเมื่อชาติก่อน
ลั่วชิงเหยียนเห็นนางเหม่อลอย ก็รีบคว้านางเข้ามากอดในทันที เขาขมวดคิ้วและเอ่ยถามว่า "เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ? ดูแน่วแน่มากๆเลยนะ"
หยุนชางเงยหน้าขึ้นมามองลั่วชิงเหยียน สีหน้าของนางดูเหมือนจะกำลังหยั่งเชิงเขาอยู่ "ท่านอ๋องยังทรงจำเรื่องอดีตชาติของหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ?"
ลั่วชิงเหยียนรู้สึกเย็นวาบไปครู่หนึ่ง เขาขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาว่า "เรื่องที่ไม่สบายใจ ลืมๆมันไปได้แล้วนะ"
หยุนชางยิ้ม "มิใช่เรื่องที่หม่อมฉันไม่สบายใจหรอกเพคะ ท่านอ๋องพอจะทรงทราบหรือไม่ว่า เมื่อชาติที่แล้วนั้นท่านทรงเป็นอย่างไรบ้าง? จะว่าไป ท่านอ๋องควรจะขอบใจหม่อมฉันที่ได้ช่วยชีวิตท่านไว้นะเพคะ"
"หา? เจ้าว่าอย่างไรนะ?" ลั่วชิงเหยียนได้ฟังหยุนชางพูดเช่นนั้นแล้วก็พลันรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันที
หยุนชางหรี่ตา พลางตอบกลับไปว่า "จิ้งอ๋องในชาติที่แล้วไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับหม่อมฉัน หม่อมฉันเพียงได้ยินมาคร่าวๆว่า จิ้งอ๋องเสียชีวิตในสนามรบที่แคว้นหนิง ในชาติที่แล้ว จ้าวอิงเจี๋ยก็ถูกสังหารในการสู้รบเช่นกัน ภายหลังจากนั้น ท่านอ๋องก็ได้ครอบครองกองกำลังต่อจากจ้าวอิงเจี๋ย และเสียชีวิตในสนามรบเพคะ ส่วนรายละเอียดหม่อมฉันมิทราบได้ ในชาตินี้ เพื่อแก้แค้นหัวจิ้ง หม่อมฉันได้ส่งคนไปที่ชายแดนล่วงหน้า เพื่อช่วยชีวิตจ้าวอิงเจี๋ยกลับมา เป็นการแก้ไขชะตาชีวิตของท่านอ๋องเพคะ"
เมื่อลั่วชิงเหยียนได้ฟังในสิ่งที่หยุนชางเล่ามาก็ถึงกับเลิกคิ้ว เขาเอ่ยขึ้นมาว่า "ข้าขออุทิศทั้งกายและใจ เพื่อตอบแทนบุญคุญอันยิ่งใหญ่ของชางเอ๋อร์"
อุทิศทั้งกายและใจ......
หยุนชางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคำพูดเช่นนี้จะออกมาจากปากของลั่วชิงเหยียน นางเกือบจะสำลักน้ำลายของตัวเอง เมื่อนางตั้งสติได้แล้ว ก็หันมามองลั่วชิงเหยียนพร้อมดุเล่นๆไปว่า "การกระทำที่ไม่เสแสร้งของท่าน หากมีคนอื่นได้มาล่วงรู้ว่ารุ่ยอ๋องที่ดูเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็งนั้น ลึกๆแล้วเป็นคนเช่นนี้ คงจะทำให้ใครต่อใครพากันทึ่งเลยนะเพคะ"
"เป็นคนเช่นไรหรือ?" ลั่วชิงเหยียนเอ่ยถาม
หยุนชางดึงนิ้วเล่นพลางตอบว่า "ไม่คร่ำเคร่ง ปากหวาน พูดจาเรื่อยเปื่อย ทำตัวเหมือนชายเร่ร่อนเพคะ"
ลั่วชิงเหยียนยิ้มและรีบคว้าตัวหยุนชางมากอดไว้
หยุนชางตกใจ นางรีบพูดในทันทีว่า "ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ......"
ลั่วชิงเหยียนหัวเราะสะใจ "ก็เจ้าพูดเองว่าข้าเหมือนชายเร่ร่อนมิใช่หรือ? ข้าก็เลยเป็นชายเร่ร่อนให้เจ้าดูอย่างไรล่ะ" เมื่อพูดจบก็ลงมาจากเตียง แล้วอุ้มหยุนชางขึ้นเตียงไป
หยุนชางสูดลมหายใจ นางรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
ฉินยีเห็นว่าหยุนชางเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการตรวจสอบบัญชีคงจะรู้สึกเบื่อไม่น้อย นางครุ่นคิด แล้วได้เล่าให้หยุนชางฟังว่า "เมื่อครู่นี้ตอนที่หม่อมฉันไปที่ห้องเก็บน้ำแข็ง หม่อมฉันก็ได้เห็นว่าห้องเก็บน้ำแข็งของจวนแห่งนี้มีขนาดไม่น้อยเลยเพคะ ห้องใหญ่ราวๆเรือน 3 หลังรวมกันได้"
หยุนชางยิ้ม แล้วเอ่ยออกมาว่า "แต่ก่อนที่นี่เป็นถึงจวนองค์รัชทายาทนี่นา" เมื่อได้ฟังสิ่งที่ฉินยีกล่าวมาแล้ว นางก็ได้พูดต่อไปว่า "เจ้าให้คนไปนำน้ำแข็งมาเพิ่มที ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผู้คนนิยมทานแตงโม ไปบอกให้คนนำแตงโมไปแช่แข็ง ท่านอ๋องกลับมาจะได้เสวยได้"
ฉินยีรับคำแล้วออกไปทำตามที่หยุนชางสั่ง
หยุนชางนั่งดูสมุดบัญชีต่อจนจบ ยังมีเวลาอีกราวครึ่งชั่วยามก่อนจะเป็นเวลา 5 โมงเย็น หยุนชางเดินไปที่เตียงนอน "ข้าจะขอพักสักหน่อย หากพ่อบ้านพาเหล่าแม่บ้านมาแล้ว เจ้าค่อยมาปลุกข้านะ"
ฉินยีรับคำ แล้วยกอ่างที่บรรจุน้ำแข็งที่ละลายหมดแล้วออกไป จากนั้นก็ใช้ใบตองมาพัดให้กับหยุนชาง
เมื่อหยุนชางตื่นขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันแว่วมาจากนอกห้อง นางหันไปมองฉินยี ฉินยีจึงยิ้มและเอ่ยว่า "แม่บ้านเพิ่งมาถึงกันเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าพระชายายังบรรทมอยู่ จึงไม่อยากเรียกน่ะเพคะ"
หยุนชางพยักหน้า แล้วลุกจากเตียง นางเดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งและให้ฉินยีช่วยรวบผม เสียงพูดคุยกันของเหล่าแม่บ้านดังแว่วมาจากนอกห้อง พวกนางพูดคุยกันเรื่องราคาธัญพืชในเมืองเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงนี้ จากนั้นก็คุยกันเรื่องที่ชายหญิงวัยกลางคนที่อาศัยอยู่ในเมืองได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นเรื่องที่ฟังดูลึกลับยิ่งนัก
หยุนชางขมวดคิ้ว แววตาของนางแสดงให้เห็นว่านางกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ฉินยีทำผมให้นางเสร็จแล้ว หยุนชางจึงให้นางออกไปพาตัวเหล่าแม่บ้านเข้ามาข้างใน
เหล่าแม่บ้านทำการคารวะหยุนชาง หยุนชางจึงให้พวกนางรายงานข้อสงสัยและข้อเสนอแนะต่างๆออกมาทีละข้อ
คนแรกเป็นผู้ดูแลห้องเครื่องภายในจวน "ช่วงนี้ราคาธัญพืชในเมืองพุ่งสูงขึ้นมากเพคะ หม่อมฉันเห็นว่า พวกเราพอจะมีไร่นาอยู่บ้าง ที่ผ่านมาผลผลิตจากไร่นาได้ถูกส่งไปขาย หม่อมฉันคิดว่า ไม่สู้ให้คนนำผลผลิตประเภทธัญพืชและพืชผักส่งเข้ามาในจวนจะดีกว่านะเพคะ"
หยุนชางเคาะไปที่ขอบตั่ง นางไตร่ตรองอยู่สักพัก แล้วจึงเอ่ยถามเบาๆว่า "เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินพวกท่านพูดเรื่องราคาธัญพืชแพงขึ้น และเรื่องผู้คนหายตัวไปมากมาย นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...