หลงไหลในความเสน่หาของเขา นิยาย บท 8

เมื่อคำว่ารักใจจากใจจริงเข้าไปในหูของลู่หรงเยียนก็ใช้ได้ผลมาก ถึงจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังใช้เขา แต่ก็ยังคงไม่ส่งผลกระทบต่อความอารมณ์ดีของเขา

"ซูชิง" ฉู่เทียนอี้โมโหจนทนทนไม่ไหว: "ทำไมคุณถึงตกต่ำจนถึงขั้นนี้ คุณหาผู้ชายสวยๆ แบบนี้มาจากไหนกัน?"

เมื่อใช้คำว่าสวยบนตัวผู้ชาย นั้นคือความหมายทางลบ

ซูชิงเองก็ฟังความถากถางในคำพูดของฉู่เทียนอี้เข้าใจชัดเจน เขากำลังแอบสื่อถึงหนุ่มหน้าใสลู่หรงเยียนอยู่

ซูเซว่เหลือบมองสีหน้าของฉู่เทียนอี้แวบหนึ่ง ในใจเธอรู้สึกสบายใจมาก เพราะคิดไม่ถึงว่าซูเสวี่ยจะหาหนุ่มหน้าใสมาจริงๆ

แต่ว่าต่อหน้าซูเซว่กลับทำเป็นพูดอย่างร้อนรน: "พี่ อย่าไปโดนเขาหลอกเลย ดูจากรถที่ผู้ชายขับก็เป็นแค่รถพังๆ ไม่กี่แสน เขาจะทำให้พี่มีความสุขได้ยังไง เขาหลอกพี่นั่นแหละ"

"เฮอะ" ซูชิงยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา: "อยู่กับเขา ต่อให้นั่งจักรยานฉันก็เต็มใจ"

ทำไมซูชิงจะไม่รู้นิสัยของซูเซว่?

ตอนนี้ในใจของซูเซว่ไม่รู้จะดีใจแค่ไหนที่เธอหาแฟนที่ธรรมดา แต่ซูเซว่เป็นถึงภรรยาของคุณชายฉู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซูเซว่ก็จะเหยียบอยู่หัวเธอดั่งกิ้งก่าได้ทองอย่างสิ้นเชิง

"ซูชิง รีบเลิกกับผู้ชายคนนี้ซะ" สีหน้าของฉู่เทียนอี้เย็นชามาก เขากำลังใช้น้ำเสียงแบบออกคำสั่ง สั่งซูชิงอยู่: "ถึงคุณจะอยากยั่วให้ผมโกรธก็ต้องหาที่มันดีหน่อย คุณหาคนกระจอกแบบนี้มาคิดว่าผมจะเชื่อเหรอ"

"เชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ ฉันชอบเขา ไม่สนใจว่าเขามีหรือไม่มีเงิน ขอแค่ได้อยู่กับเขา ต่อให้นั่งจักรยานฉันก็ยอม รบกวนคุณช่วยให้เกียรติแฟนฉันหน่อย"

น้ำเสียงเย้ยหยันของฉู่เทียนอี้ทำให้ซูชิงโมโห เธอทนเห็นลู่หรงเยียนโดนดูถูกไม่ได้

ลู่หรงเยียนเป็นผู้ชาย เขาเองก็มีศักดิ์ศรี ฉู่เทียนอีจะซัดมาทางเธอก็ได้ แต่จะด้อยค่าลู่หรงเยียนไม่ได้

ซูชิงไม่อยากอยู่ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว เธออยากรีบพาลู่หรงเยียนออกไปเท่านั้น

"ที่รัก พวกเรากลับไปกินเถอะ"

สายตาดั่งเหยี่ยวของลู่หรงเยียนมองความคิดของซูชิงออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อเห็นซูชิงปกป้องตนเอง ในใจของลู่หรงเยียนก็มีความสุขที่สุด ส่วนคำถากถางของฉู่เทียนอี้นั้น เขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

"โต๊ะก็จองไว้แล้ว ต้องกินก่อนค่อยกลับสิ" ลู่หรงเยียนม้วนผมของซูชิงอย่างลุ่มหลง: "ไม่เห็นต้องปล่อยให้ตัวเองหิวเพียงเพราะแมลงวันสองตัวเลย"

"นายว่าใครเป็นแมลงวัน?" ซูเซว่โกรธจนหน้าเขียว เธอหัวเราะเยาะ: "คนกระจอกอย่างนายมาจองโต๊ะข้างใน นายหลอกใครเหรอ อาศัยแค่ท่าทางซอมซ่อของนาย แม้แต่หน้าประตูก็ยังเข้าไปไม่ได้เลย มาแกล้งทำเป็นเศรษฐีอะไร"

สีหน้าของฉู่เทียนอี้เองก็แย่มาก เขายิ้มเยาะ: "ซูชิง คุณหามาจากไหนเนี่ย พูดโม้เป็นเหมือนกันนะ ไม่ดูบ้างเลยว่าที่นี่คือที่ไหน ที่นี่คือ'ครัวเปี๋ยย่วน'ของเมืองหลวงเลยนะ ไม่ใช่ที่ที่หมาแมวที่ไหนจะเข้าไปได้"

สำหรับคำถากถางของทั้งสองคน ใบหน้าของลู่หรงเยียนก็มีเพียงรอยยิ้มเยาะอ่อนๆ ตลอดเวลา เพียงแต่ความเย็นยะเยือกในตาคู่นั้น ค่อยๆ เย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีความอบอุ่น มันเย็นชายิ่งกว่าอากาศของเดือนสิบสองซะอีก

ซูชิงเองก็รู้สึกว่าลู่หรงเยียนกำลังโม้ เธอคิดแค่ว่าลู่หรงเยียนกำลังร่วมมือแสดงละครกับตนเองอยู่ เธอเองก็ไม่สามารถปล่อยให้ทั้งคู่มาดูถูกได้อยู่แล้ว

ซูชิงมองฉู่เทียนอี้กับซูเซว่ด้วยสายตาเย็นชา ในขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากพูด ลู่หรงเยียนก็พูดประโยคที่มีนัยออกมาอย่างทรงอำนาจ: "อืม...ครัวเปี๋ยย่วน ก็ไม่ใช่ที่ที่หมาแมวที่ไหนจะเข้ามาได้หมดจริงๆ"

ฉู่เทียนอี้มองผู้ชายตรงหน้าที่จู่ๆ ก็ดูทรงอำนาจจนทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้ามองหน้าตรงๆ พร้อมขมวดคิ้วขึ้นมา: "นายหมายความว่าอะไร?"

"ก็หมายความว่า...หลังจากวันนี้ นายกับผู้หญิงข้างตัวนายคนนี้จะถูกร้านอาหารร้านนี้ขึ้นแบล็กลิสต์ เข้ามาไม่ได้อีกตลอดไป"

"เฮอะ!" ฉู่เทียนอี้หัวเราะ: "พูดเว่อร์มากนะ"

ซูเซว่เองก็ตลก: "พูดเว่อร์จริงๆ จะขึ้นแบล็กลิสต์พวกเรา นายนึกว่านายเป็นใคร? ตลกจริงๆ ซูชิง พี่ไปหานายนี่มาจากไหน ตลกมาก"

ซูชิงเองก็รู้สึกว่าคำพูดโม้นี้เกินไปหน่อยแล้ว แต่แฟนตัวเองเป็นคนโม้ ถึงจะเกินไปยังไงก็ต้องช่วยคุ้ม

ซูชิงยิ้ม พร้อมโอบไหล่ของลู่หรงเยียนด้วยรอยยิ้มที่สบายใจ: "ความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวง มีเสือหมอบมังกรแอบ เป็นคนก็ควรจะถ่อมตัวหน่อย ไม่อย่างนั้นถูกตบหน้าไวเกินไปแล้วจะดูไม่ได้"

เมื่อซูเซว่ได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา: "ซูชิง พี่แสดงเก่งไปแล้วมั้ง ยังมาเสือหมอบมังกรแอบอีก ท่าทางกระจอกแบบนี้"

ในตอนนี้ก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบเดินเข้ามาทางนี้ด้วยความเร็วสูง

คนที่นำหน้าก็คือหวังหยาง ผู้จัดการของครัวเปี๋ยย่วน ส่วนด้านหลังก็ตามมาด้วยยามอีกหลายคน

เมื่อเห็นคนมา ซูเซว่ก็พูดอย่างลำพองใจ: "ซูชิง ถ้าพี่ขอโทษฉัน ฉันกับเทียนอี้จะไม่เอาความและพาพี่กับแฟนกระจอกของพี่เข้าไป ไม่อย่างนั้นพี่ก็รอโดนไล่กลับไปเถอะ"

ฉู่เทียนอี้สีหน้าเคร่งขรึม พร้อมเปิดเผยฐานะของตนเองออกมา: "ฉันคือฉู่เทียนอี้ลูกชายของตระกูลฉู่กรุ๊ปฉู่เฉวียนอัน คืนนี้พวกเราจะทานอาหารที่นี่"

ในตอนที่ฉู่เทียนอี้พูดว่าตนเองเป็นคนของตระกูลฉู่ ฉู่กรุป บนหน้าของเขาก็มีความรู้สึกเหนือกว่าคนอื่นขึ้นมา

ส่วนซูเซว่เองก็ทำท่าทางดั่งคางคกขึ้นวอ: "ดูให้ดีๆ พวกนายล่วงเกินตระกูลฉู่ไหวไหม?"

แต่หวังหยางนั้นไม่สนใจแม้แต่น้อย: "ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกของใครวันนี้ก็ต้องออกไปทั้งนั้นครับ วันนี้ที่ร้านถูกเหมาแล้ว มานี่หน่อย เชิญคุณฉู่กับคุณหญิงฉู่กลับไปหน่อย"

ปากบอกว่าเชิญ แต่ที่จริงก็คือไล่

ถ้าทั้งสองไม่ให้ความร่วมมือ ก็ถึงขั้นที่จะโยนออกไปได้เลย

บนใบหน้าของฉู่เทียนอี้ไม่เหลือศักดิ์ศรีแม้แต่น้อย: "คนใหญ่โตจากไหนกัน ถึงเหมาครัวเปี๋ยย่วนได้?"

"ใช่ๆ ผู้จัดการหวังอย่ามาขู่พวกเรา ทำไมพวกคุณถึงไม่ไล่พวกเขาสองคนล่ะ?" ซูเซว่ชี้ไปที่ซูชิงกับลู่หรงเยียน: "พวกเราเข้าไปไม่ได้ แล้วคนท่าทางกระจอกอย่างสองคนนี้เข้าไปได้รึไง?"

ลู่หรงเยียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและหน้าตาเคร่งขรึม: "หลังจากนี้ฉันไม่อยากเห็นสองคนนี้ที่นี่อีก"

หวังหยางไม่ทราบตัวตนของลู่หรงเยียน แต่การที่เขาสามารถนั่งบนตำแหน่งผู้จัดการของครัวเปี๋ยวย่วนได้ เขาก็มีแววตาและวิธีใช้ชีวิตของตัวเองอยู่ คนที่สามารถทำให้คุณชายผู้สืบทอดตระกูลว่านฟิล์มกรุ๊ปเคารพแบบนี้ได้ เบื้องหลังก็ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

ขอแค่คอยรับใช้อย่างระมัดระวังก็ต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน

วันนี้คนที่เหมาร้านคือว่านหยาง แต่ลู่หรงเยียนเคยมากับว่านหยางอยู่หลายครั้ง หวังหยางจึงจำได้อยู่แล้ว

"รับทราบครับคุณลู่" หวังหยางกำชับคนที่อยู่ด้านข้าง: "เอาสองคนนั้นขึ้นแบล็กลิสต์แล้วเอาป้ายไว้ที่หน้าประตู"

ถ้าติดไว้ที่ประตูจริงๆ ฉู่เทียนอี้กับซูเซว่ก็ต้องเสียหน้าเป็นอย่างมากและเงยหน้าไม่ขึ้นในวงเลยจริงๆ

คนที่ไปมาทุกวันล้วนเป็นคนในวง ถ้าติดไปแล้วใครจะไม่รู้?

ครั้งนี้ฉู่เทียนอี้กับซูเซว่จะไม่ใช่แค่สีหน้าดูไม่ดีเฉยๆ แล้ว เมื่อได้ยินแบบนี้ ทั้งสองก็เริ่มลุกลี้ลุกลนกันขึ้นมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หลงไหลในความเสน่หาของเขา