“แต่หนูไม่...”
“พี่สาบานด้วยเกียรติว่าจะรักและซื่อสัตย์กับเราไปจนตาย แต่งงานกับพี่นะได้โปรด...” ปริณลงไปนั่งคุกเข่า แล้วล้วงกล่องแหวนเพชรในกระเป๋ากางเกงที่ตั้งใจเตรียมมาเปิดออกอย่างไม่รอช้า
“พี่ป้องลุกขึ้นมานะ” อลิชาหน้าเหวอทันใดที่อีกฝ่ายลงไปนั่งบนพื้น
“บอกมาก่อนสิว่าจะแต่งกับพี่” ปริณเอ่ยย้ำ เพราะสิ่งเดียวที่เขากลัวที่สุดในตอนนี้ คือกลัวว่าผู้หญิงตรงหน้าจะหันหลังให้กับความรักของตน
“ฮึก...” อลิชามองเพชรเม็ดใหญ่ผ่านม่านน้ำตา แหวนเพชรวงนี้ เป็นวงที่ปริณประมูลสู้ราคามาได้ถึงหกสิบล้านบาทเมื่อสองเดือนก่อน จนเป็นข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน ว่าอีกฝ่ายเตรียมจะขอสาวแต่งงาน เธอรู้สึกเจ็บหนึบที่หัวใจอยู่เกือบเดือน เพราะคิดว่าเขากำลังจะสู่ขอมาริกา
“ได้โปรด... พี่จะไม่มีวันทำร้ายความรู้สึกของเรา และจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเรา ไม่ว่ามันคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม” ปริณให้คำมั่น เมื่อเห็นแววตาและสีหน้าที่เหมือนกำลังจะปฏิเสธตนอีกครั้ง
“หนู...” อลิชาหลับตาลงอย่างรู้สึกทรมาน เธอกลัวที่จะรัก กลัวว่าวันหนึ่งเธอจะเป็นเหมือนแม่ กลัวว่าวันหนึ่งผู้ชายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าของเธอจะเปลี่ยนไป...
“แต่งงานกับพี่นะ ได้โปรด...” ปริณอ้อนวอนพร้อมกับคว้าร่างบางเข้ามากอดแน่น ยิ่งเห็นเธอร้องไห้เขายิ่งรู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก
“สัญญามาก่อนสิว่าพี่ป้องจะไม่ทิ้งหนู” อลิชาสะอื้นไห้จนตัวสั่น เพราะเธอเองก็ไม่สามารถตัดใจจากเขาได้ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำเป็นไม่มองหรือไม่สนใจเขา
“พี่ให้สัญญา...” ปริณบอกก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากบางที่กำลังสั่นระริกนั้นอย่างดีใจ ที่ในที่สุดสาวตรงหน้าก็ตอบรับความรู้สึกของตน
“อืม...” อลิชาหลับตาลง ยอมรับจูบที่แสนหวานอย่างไม่อาจจะปฏิเสธหรือฝืนความรู้สึกที่มีต่อชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีทางพฤตินัยได้อีกต่อไป
“พี่จะรักเราไปจนวันตาย อลิซ” หลังจากที่ถอนจูบออก ปริณเอ่ยย้ำคำมั่นสัญญาพร้อมกับสวมแหวนให้สาวเจ้าอย่างไม่รอช้า
อลิชาก้มลงหอมที่แก้มอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยกระซิบเบาๆ อย่างรู้สึกเขินอาย “ขอบคุณค่ะ”
“นี่ เดี๋ยวนะ เราต้องบอกว่า... หนูรักพี่ป้องค่ะ แทนคำว่าขอบคุณค่ะ ไม่ใช่เหรอ?” คนที่กำลังจะซึ้งต่อว่าอย่างงุนงง เมื่อคำพูดที่หวังจะได้ยินกลับไม่ใช่คำที่คิดเอาไว้
“มะ...มันก็เหมือนกันแหละค่ะ” อลิชาบอกก่อนจะรีบขยับออกห่างจากคนตัวโตที่ทำหน้าบึ้งตึง
“ไม่เหมือน ความหมายมันต่างกันลิบลับเลย เหมือนคำว่าพี่กับผัว หรือไม่ก็พ่อกับเพื่อน”
“หรือไม่ก็สามีรุ่นพ่อใช่ไหมคะ” อลิชาแกล้งหยอกอย่างอดไม่ได้
“พระเจ้า มานี่เลยนะ พี่เด็กกว่าพ่อของเราตั้งสิบเอ็ดปี ไม่ใช่รุ่นเดียวกันสักหน่อย” ปริณรีบคว้าข้อเท้าของคนที่กำลังจะขยับลงจากเตียง แล้วดึงลากกลับมาทันใด
“คิกๆๆ” อลิชาหัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายโกรธจนหน้าแดงก่ำ
“พี่ซีเรียสนะรู้ไหม” ปริณบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“หนูก็ซีเรียสเหมือนกัน” เธอตอกกลับทันควัน
“ยังไง” ปริณนิ่วหน้านิดๆ อย่างไม่เข้าใจ
“อ้าว ก็ถ้าวันแต่งงานเพื่อนๆ หนูเข้าใจผิดว่าเจ้าบ่าวคือ...”
“อลิซ!” ปริณรู้สึกนอยด์ขึ้นมาทันทีที่สาวเจ้าชอบล้อตนเรื่องอายุ
“คิกๆๆ” อลิชาหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจกับสีหน้าที่บูดบึ้งนั้น
“พี่อายุแค่สามสิบสี่นะ” ปริณถอนหายใจเซ็งๆ
“ใช่ แล้วหนูก็กำลังจะยี่สิบสามเดือนหน้า” เธอเอ่ยย้ำความต่าง
“แล้วไง อายุห่างกัน แล้วรักกันไม่ได้งั้นเหรอ” ปริณพยายามข่มอารมณ์โกรธและน้อยใจที่สาวเจ้ายังไม่หยุดล้อ
“ได้ค่ะ แต่ว่า...” อลิชายังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยค ก็โดนอีกฝ่ายขัดขึ้นเสียก่อน
“พี่จะไปอาบน้ำ แล้วหนูก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” คนอายุเยอะรีบเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะดูท่าแล้วสาวเจ้าคงจะยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ
“จะไปไหนเหรอคะ”
“พี่จะพาเราไปทานข้าว”
“ที่ไหนคะ”
“โรงแรมมะลิฉัตรแกรนด์ พี่จองโต๊ะเอาไว้แล้ว” ปริณบอกพลางแอบซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
“แล้วเสื้อผ้าของพี่ป้องล่ะคะ”
“เดี๋ยวลูกน้องของพี่จะเอามาให้”
“แล้วแผลที่ถูกยิง...” อลิชายังถามพร้อมกับมองร่างสูงไปมาอย่างสังเกต เพราะตั้งแต่ที่อีกฝ่ายบอกว่ามีแผลถูกยิง เธอยังไม่เห็นเขามีอาการเจ็บปวดตรงไหนให้รู้ว่าต้องระวังเป็นพิเศษ
“ไม่ค่ะ”
“งั้นผมขอสั่งอาหารครับ ในฐานะพักอยู่ที่นี่มาหลายวัน พอจะรู้ว่าอะไรอร่อยบ้าง” อีเดนเอ่ยยิ้มๆ
“ตามสบายค่ะ งั้นฉันขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ” มารียาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าแดง
“เชิญครับ” อีเดนมองตามแผ่นหลังบางอย่างหลงใหลและรู้สึกหวงจนไม่อยากให้ใครมอง
สิบห้านาทีต่อมา... มารียาเปลี่ยนมาใส่ชุดลำลองสีขาวล้วนที่เนื้อผ้านุ่มๆ บางๆ เรียบๆ แต่ดูหรูและแพงเพราะโลโก้ของแบรนด์ดังที่ปักด้วยเส้นไหมสีแดงบนหน้าอกทางด้านซ้าย
หลังจากที่อีเดนโทรสั่งอาหารเสร็จ ก็กลับเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สบายๆ สวมใส่ และทันทีที่ออกมาจากห้องแต่งตัว เขาก็เจอกับมารียาที่ใส่ชุดแบบเดียวกัน แบรนด์เดียวกัน เพียงแต่ว่าของเขานั้นเป็นสีเทาอ่อน
“ว้าว! เราใจตรงกันนะนี่”
“อ้าว คุณก็ใส่ชุดลำลองเหมือนกันเหรอคะ” มารียาถามก่อนจะมองร่างสูงยิ้มๆ
“ครับ เอ่อ... เราไปกันเลยไหม อาหารน่าจะพร้อมแล้ว” คนที่กำลังข่มไฟปรารถนารีบเอ่ยชวน ก่อนตนจะเผลอลากสาวเจ้าขึ้นเตียงซะก่อนได้กินอาหารมื้อค่ำ
“ค่ะ” มารียาตอบรับก่อนจะเดินออกไปด้านนอก ก็เห็นพนักงานกำลังวางอาหารลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“ค่อยมาเก็บโต๊ะพรุ่งนี้นะ” อีเดนบอกก่อนจะยื่นทิปให้กับพนักงานเสิร์ฟ
“ขอบคุณครับท่าน” พนักงานเสิร์ฟชายยกมือไหว้ ก่อนจะรีบเดินออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ว้าว อาหารน่าทานทั้งนั้นเลยนะคะ”
“มีเมนูหนึ่งที่ผมทานติดกันมาถึงสามวันแน่ะ”
“จานไหนคะ” มารียาถามอย่างอยากรู้
“จานนี้ครับ ผมทานจนจำรสชาติของมันได้ ถ้าเกิดว่าเชฟลาหยุดกะทันหัน หรือเกิดอุบัติเหตุ ผมว่าผมสามารถลงไปทำจานนี้แทนเขาได้เลยนะ” อีเดนบอกก่อนจะตักยำปลาแซลมอนสดแบบไทยๆ ที่ใส่ตะไคร้กับหัวหอมหั่นสไลด์บางๆ และพริกขี้หนูกับกระเทียมสับคลุกเคล้ากับน้ำยำรสจัด แต่งหน้าด้วยใบสะระแหน่ วางลงในจานให้คนตรงหน้าอย่างเอาใจ
“ขอบคุณค่ะ” มารียาทำหน้าขบขันกับคำบอกกล่าวเมื่อครู่
“คุณไม่เชื่องั้นเหรอ” อีเดนเลิกคิ้วถามยิ้มๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อีเดน