จักรพรรดิตรัสว่า “เขาถือว่าเป็นหลานของข้าเช่นกัน อ้ายชิงวางใจได้ ข้าจะดูแลเขาอย่างดี เป็นอันตกลงตามนี้ พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปรับเขา เจ้ากลับไปก่อนได้”
เฉินเสียนไม่คิดว่าจะมีคนจากพระราชวังจะมารับตัวเจ้าน่องน้อยไป ทั้งที่เธอกับเจ้าน่องน้อยยังใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงครึ่งเดือนเลยด้วยซ้ำ
ฉินหรูเหลียงเป็นคนพาคนจากวังไปที่สวนสระวสันตฤดู เวลานั้นคนจากในวังเรียงแถวอยู่ในลานและแสดงความเคารพอย่างสุภาพ
เฉินเสียนอุ้มเจ้าน่องน้อยไว้ในอ้อมอกและมองฉินหรูเหลียง
ฉินหรูเหลียงขยับปากกระซิบเบาๆ “นี่คือพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ ท่านกับข้าจะขัดพระประสงค์ไม่ได้”
แน่นอนว่าเฉินเสียนรู้ดีว่านี่คือดำริขององค์จักรพรรดิ แต่พระองค์จะอดใจรอไม่ได้เชียวหรือ รออีกสักสองสามเดือนหรือสักปีสองปี รอให้เจ้าน่องน้อยโตกว่านี้สักหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร
เฉินเสียนก้มมองเจ้าน่องน้อยที่หลับอยู่และเอ่ยว่า “จะต้องรีบร้อนขนาดนี้เลยหรือ”
เธอเองก็รู้ว่าเมื่อเด็กคนนี้เกิดมา เขาจะกลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกใช้เพื่อบีบบังคับเธอกับฉินหรูเหลียง
ฉินหรูเหลียงไม่ได้เปิดเผยต่อใครว่าเจ้าน่องน้อยไม่ใช่ลูกของเขา ดังนั้นแม้ว่าเด็กจะถูกพาตัวเข้าไปในวังก็ไม่มีผลอะไรกับเขาอยู่ดี ในอนาคตจักรพรรดิจะไม่มีทางใช้เจ้าน่องน้อยมาข่มขู่เขาได้
แต่เจ้าน่องน้อยเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเฉินเสียน
เธอยังเล่นกับเขาไม่พอ ยังมองดูเขาได้ไม่เท่าไหร่ ยังหยอกล้อเขาได้ไม่อิ่มใจเลย
แม้ว่าในอนาคตเขาจะกลายเป็นเพียงภาระตัวน้อย แต่เมื่อสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกก่อตัวขึ้นมาแล้ว เธอจะยอมตัดใจไม่ได้เด็ดขาด
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “องค์จักรพรรดิทรงทราบว่าเขาร้องไห้ไม่ได้ พระองค์จึงดำริจะรับผิดชอบพาเขาไปรักษาในวัง ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าน่องน้อยเอง”
เฉินเสียนฟังแล้วอยากจะหัวเราะเยาะ
เพื่อเจ้าน่องน้อยงั้นเหรอ
จักรพรรดิอยากจะบีบเธอให้ตายคามือละสิไม่ว่า
ในเวลานี้คนจากวังเอ่ยด้วยความเคารพว่า “องค์หญิงทรงวางพระทัยมอบท่านชายน้อยให้กระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดิมีพระราชโองการมา และพวกกระหม่อมจะปรนนิบัติดูแลท่านชายน้อยอย่างดีที่สุด”
เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดกับเจ้าน่องน้อยที่อยู่ในผ้าอ้อมว่า “เป็นเด็กดีนะเจ้าน่องน้อย ไปที่วังแล้วก็อย่าทน ถ้าหิวหรือเจ็บขึ้นมา เมื่อควรร้องก็ต้องร้อง เมื่อควรส่งเสียงก็ต้องส่งเสียง เจ้าเข้าใจใช่ไหม”
เจ้าน่องน้อยไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูด
ทว่าดวงตาเรียวยาวของเขาเปิดขึ้นเล็กน้อย
ดวงตาสีดำกับขาวที่ตัดกันอย่างชัดเจนเปรียบเสมือนสิ่งที่สะอาดและบริสุทธิ์ที่สุดบนโลกใบนี้
คราวนี้เขาไม่ได้หลับตาลงอย่างไม่สนใจ แต่ยังคงลืมตาและจ้องมองเฉินเสียนอยู่ตลอด
เขาใช้ขาถีบสองครั้งเมื่อเฉินเสียนส่งเขาให้ข้าหลวงจากในวัง ทว่าเขายังคงไม่ร้องไห้
เฉินเสียนเฝ้ามองพวกเขาพาเจ้าน่องน้อยเดินออกไปจากประตูจวนแม่ทัพ และขึ้นไปบนรถม้าที่โอ่อ่ากว้างขวางซึ่งส่งมาจากพระราชวัง
เฉินเสียนยืนอยู่หน้าประตูนานมาก
แม่นมซุยกับอวี้เยี่ยนทนไม่ได้และเกลี้ยกล่อมเธอทั้งที่ดวงตาแดงก่ำ “องค์หญิง ร่างกายขององค์หญิงยังไม่แข็งแรง จะตากลมหนาวไม่ได้นะเพคะ”
เฉินเสียนปัดมือที่ยื่นออกมาของพวกนางและตอบไปว่า “ข้ายังไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
ฉินหรูเหลียงยังคงยืนอยู่ที่ประตูเช่นกัน ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านไม่ต้องกังวล ลูกจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในวัง ในวังมีหมอหลวง อีกทั้งยังมีนางสนมมากมาย ดูไปแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี”
เฉินเสียนไม่สนใจเขา เธอทำเป็นหูทวนลมและหันหลังเดินจากไป
ฉินหรูเหลียงหัวเราะเยาะตัวเอง คำพูดของเขาฟังดูไม่จริงใจเลยแม้แต่น้อยเพราะถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ลูกของเขา
แต่นี่คือพระราชโองการจากองค์จักรพรรดิ ไม่ว่าอย่างไรเฉินเสียนก็ไม่มีทางเลือก เขาพยายามเกลี้ยกล่อมพระองค์แล้ว เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน
เมื่อกลับมาที่สวนสระวสันตฤดูอีกครั้ง ที่นี่ก็ดูเงียบเหงาลงไปถนัดตา
เฉินเสียนไม่มีกะจิตกะใจจะพูดหรือทำสิ่งใดอีกต่อไป
ยามที่อากาศดีเธอมักจะนอนเอนหลังอยู่ใต้ร่มไม้และหลับไปตลอดทั้งบ่าย
อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างกังวลว่า “องค์หญิงเข้าไปบรรทมในห้องเถิดเพคะ”
“เจ้าลุกขึ้นเถอะ”
อวี้เยี่ยนส่ายหน้า “บ่าวไม่ลุกเพคะ ทั้งหมดเป็นความผิดของบ่าว บ่าวทำให้องค์หญิงทรงคิดมากเช่นนี้”
เฉินเสียนแย้มยิ้มและลดแขนลง เธอยิ้มในแววตาก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “ทำให้เจ้าตกใจหรือเปล่า? เฮ้อ ข้าก็แค่รู้สึกว่าพอไม่มีเจ้าน่องน้อยให้เล่นด้วยแล้ว อะไรๆ ก็ดูน่าเบื่อ”
อวี้เยี่ยนกะพริบตาปริบๆ และเอ่ยว่า “งั้นบ่าวหาเรื่องสนุกอื่นๆ ให้องค์หญิงดีไหมเพคะ”
“ไม่ว่าอะไรก็ทำให้ข้าสนใจไม่ได้หรอก”
อีกสองวันจะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์
ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่วันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชชนนี เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยังคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงในวังครั้งล่าสุดไม่หาย
ในงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ องค์จักรพรรดิจึงดำริให้จัดงานเลี้ยงในวังเพื่อต้อนรับเหล่าขุนนาง และเพื่อเอาใจพวกเขา อนึ่งจะเสด็จพร้อมกับสมเด็จพระราชชนนีเพื่อชมพระจันทร์และทำให้พระองค์มีความสุข
เฉินเสียนรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาและสั่งให้อวี้เยี่ยนรีบเตรียมตัวเอาไว้
มันไม่เหมือนกับครั้งก่อน คราวนี้เธออยากเข้าไปที่พระราชวังด้วยความสมัครใจของเธอเอง
เมื่อเข้าไปในวังแล้ว ไม่แน่เธออาจจะได้เห็นเจ้าน่องน้อยก็ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง
อวี้เยี่ยนเตรียมการให้อย่างขยันขันแข็ง
เพียงแต่เมื่อถึงวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ ท้องฟ้ากลับมีเมฆมากและลมพัดแรง ฉินหรูเหลียงมาที่สวนสระวสันตฤดู ลมในสารทฤดูพัดชายเสื้อเขาปลิว เขาดูเศร้าเล็กน้อย
เขาบอกเฉินเสียนว่า “องค์จักรพรรดิมีกระแสรับสั่งมา พระองค์ทรงเห็นใจที่ท่านเพิ่งคลอดบุตรได้ไม่ถึงเดือน จึงทรงโปรดให้ท่านพักผ่อนอยู่ที่เรือน ไม่จำเป็นต้องไปร่วมงานเลี้ยงในวัง”
เฉินเสียนยังคงยืนอยู่ในสายลม จ้องมองฉินหรูเหลียงและเอ่ยว่า “ท่านลองพูดอีกครั้งสิ”
ฉินหรูเหลียงเอ่ยอย่างกระชับ “องค์จักรพรรดิไม่อนุญาตให้ท่านเข้าไปในวัง”
หากไม่ใช่เพราะการฉุดรั้งของแม่นมซุยกับอวี้เยี่ยน เฉินเสียนคงจะลงไม้ลงมือไปแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...