ซูเจ๋อจับมือเฉินเสียนไว้แน่น แล้วค่อยๆพาเธอเดินขึ้นไปบนภูเขาทีละก้าว
คนที่เดินด้านหน้าเป็นอย่างกับเทวดา แต่ข้างหลังกลับเป็นคนที่ไม่เต็มใจเดิน
ซูเจ๋อพูดเบาๆว่า “บนภูเขานี้มีหมาป่าจริงๆ เส้นทางเดินขึ้นภูเขาถูกปิดตั้งหลายนานแล้ว ไม่มีเสบียงส่งขึ้นมาเลย พวกมันน่าจะหิวมากแล้วล่ะ”
เฉินเสียนพูดประชด “เหอะ ถ้ายังเหลือลมหายใจอยู่ล่ะก็ ดีเลย พวกเราสองคนก็ขึ้นไปเป็นอาหารให้พวกมันถือว่าเป็นการช่วยชีวิตหมาป่าพวกนั้นไว้”
“คนที่มาเที่ยวที่นี่ต่างพากันมาเป็นครอบครัว ครอบครัวต่างรักชีวิตของพวกเขา พอได้ยินเรื่องเล่ากันว่ามีคนเจอหมาป่าบนภูเขานี้ เพียงแค่ได้ยินเขาเล่าแต่ยังไม่ได้เจอตัวจริงต่างก็พากันเชื่อแล้วก็ไม่กล้าขึ้นมาบนภูเขานี้กัน”
เฉินเสียนฟังแล้วก็งุนงง
ซูเจ๋อพูดต่อ“เจ้าหน้าที่ยังกลัว รักชีวิตตัวเอง เลยต้องปิดเส้นทางขึ้นเขา อีกไม่นานที่นี่ก็คงไม่ใช่สถานที่ที่คนมาเที่ยวชมสารทฤดูแล้ว”
“สรุปแล้วเรื่องหมาป่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
ซูเจ๋อพูด“จริงๆแล้วคือเรื่องเท็จ ไม่อย่างนั้นท่านจะยังอยู่กับข้าหรือ”
ประโยคหลังเขาพูดเสียงต่ำลง เฉินเสียนได้ยินไม่ชัดเจน จึงถามว่า “ท่านพูดว่าอะไรนะ?”
ซูเจ๋อวางมาดจริงจังแล้วพูดว่า “ข้าพูดว่ายิ่งเดินไปบนภูเขามันจะยิ่งชัน เดี๋ยวท่านต้องจับข้าไว้แน่นๆ”
ทิวทัศน์บนภูเขาแห่งนี้บรรยากาศนั้นสวยงามมาก ทำให้เฉินเสียนอารมณ์ไม่ดีที่ก่อนหน้านี้ทะเลาะกับซูเจ๋อนั้นถูกลบไปหมด
เมื่อถึงเดินไปถึงครึ่งของสันเขา ทำให้มองเห็นใบเมเปิ้ลสีแดงราวกับเปลวไฟนั้นปกคลุมเต็มไปทั่วทุกพื้นที่
แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านใบไม้ลงมา ทำให้สถานที่แห่งนี้เงียบมาก
ชุดสีดำของซูเจ๋อปลิวไสว ผมข้างหลังที่ยาวสีดำนั้นปลิวไปตามลม ภายในสายลมนั้นดูแล้วอ่อนนุ่ม
หลังจากมองอยู่นาน ระหว่างพื้นที่ที่สีแดงฉานกับท้องฟ้า ดูเหมือนกับจะมีเพียงแค่เขาที่เป็นสีสันอื่น
ยิ่งเดินลึกเข้าไป พื้นดินยิ่งเรียบ ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่สลับกัน เฉินเสียนก็พบเห็นหุ่นไม้สามหัวหกแขนอยู่ระหว่างกลาง
ด้วยจิตใต้สำนึกของเฉินเสียนนั้นก็รู้ทันทีว่านั้นคือหุ่นไม้ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อจำลองมือและเท้า ไว้สำหรับผู้มีวิทยายุทธใช้ฝึกฝนวิชากัน
และอีกอย่าง ในจิตใต้สำนึกของเฉินเสียนไม่ได้รู้สึกว่าหุ่นไม้นั้นเป็นคนแปลกหน้า
เฉินเสียนรู้สึกเกิดความสงสัยขัดแย้งขึ้นมา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เดิมทีแล้วท่านไม่ได้พาข้ามาชมทิวทัศน์”
ซูเจ๋อก็เดินไป เห็นได้ชัดว่าเขาใช้มือลูบไปที่หุ่นไม้นั้น แล้วพูดว่า “รู้สึกผิดหวังหรือ?”
เขาหมุนตัวกลับมา กระซิบกับเธอระหว่างที่ใบไม้ตกลงมา “หรือว่าท่านจะชอบใช้ชีวิตกับข้ามากกว่า?”
เฉินเสียนกัดฟันแน่น รู้สึกคันหัวขึ้นมาทันทีแล้วพูดว่า “ข้าชอบทะเลาะกับท่านมากกว่า”
ซูเจ๋อพูดต่อว่า “มา ถ้าท่านต่อสู้ชนะมัน ข้าจะร่วมต่อสู้กับท่าน”
“ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ถ้ามันยังไม่ขยับ ข้าก็จะใช้เท้าถีบมัน”
“จริงหรือ งั้นท่านลองดู” ซูเจ๋อหรี่ตาแล้วมองลึกลงไป
ทันใดนั้นเฉินเสียนก็เดินเข้าไป เตรียมพร้อมที่จะเอาเท้าถีบไปที่หุ่นไม้ แต่ไม่รู้เลยว่าซูเจ๋อที่ยืนอยู่ด้านหลังหุ่นไม้นั่นขยับมือและขยับเท้าอะไรบ้าง เพียงแค่เห็นเขากดลงไปที่หุ่นไม้ จากนั้นการปฏิบัติการทุกอย่างก็เริ่มขึ้น
แต่เดิมหุ่นไม้ที่ไม่มีชีวิต กลับกลายมีชีวิตขึ้นมา แล้วเริ่มยืดกิ่งก้านมาทางเฉินเสียน
เฉินเสียนที่ไม่ทันตั้งรับ ด่าออกมาชุดใหญ่ “ซูเจ๋อ! ท่านมันคนสารเลว!”
ซูเจ๋อนั่งลงบนพื้น นำขลุยไม้ไผ่ขึ้นมา แล้วพูดว่า“ มันไม่ได้เก่งอะไรหรอก แค่พละกำลังของท่าน ก็สามารถชนะมันได้”
เขาเป่าบรรเลงเพลงขลุยอย่างเชื่องช้า
เฉินเสียนคิดในใจ เขารู้ได้อย่างไรว่าตัวเธอมีกำลังวรยุทธ
ทันใดนั้นก็โน้มตัวไปข้างหน้า ดึงเสื้อของซูเจ๋อแล้วดึงเขาขึ้นมา
ซูเจ๋อมองตาเธอ หลังจากนั้นทั้งยิ้มและหัวเราะแล้วพูดว่า “อาเสียน ท่านช่างทรงพลังจริงๆ”
เฉินเสียนดึงเขาไว้แล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าสามารถต่อสู้กับท่านได้แล้วหรือยัง?”
ซูเจ๋อพูด “ได้เลย เพียงแค่เพื่อความยุติธรรม งั้นต้องหาของกินรองท้องก่อน ให้ท่านได้ฟื้นฟูพละกำลังเสียก่อน ”
ซูเจ๋อรู้จักกับภูเขาแห่งนี้เป็นอย่างดี เขาพาเฉินเสียนเดินผ่านป่าเมเปิ้ลไปด้านหลังของภูเขาอีกฝั่ง
ที่นี่มีลำธารหนึ่งสายไหลมาจากน้ำพุหิน เสียงน้ำไหลระยะใกล้ ไหลรินอย่างเงียบๆ
ยิ่งกระแสน้ำไหลไปด้านหน้านั้นยิ่งไหลเชี่ยว ไหลจนไปถึงขอบหน้าผา ก่อนจะไหลลงไปเป็นน้ำตก
ไอความเย็นและความชื้นของน้ำที่เพิ่มมากขึ้น กระทบเข้าที่ใบหน้า เฉินเสียนเพียงแค่รู้สึกว่าการมองกว้างนั้นไม่ปกติ เพราะว่าไอน้ำนั้นเยอะมากจนกลายเป็นหมอก ทำให้ได้ยินเสียงใสไพเราะแต่ฟังไม่ชัดเจน
ซูเจ๋อจับกวางป่ามาทำอาหาร นำไปล้างทำความสะอาดในลำธารจากนั้นจึงก่อไฟย่าง
เฉินเสียนนั่งลงพิงกับต้นไม้ แอบมองเขาอย่างเงียบๆ เขาเคลื่อนไหวอย่างเชี่ยวชาญ ราวกับทำเรื่องอะไรที่งดงามละเอียดอ่อน
เวลานี้ต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไร
การรับสัมผัสทั้งห้านั้นรู้สึกว่าที่นี่นั้นเงียบสงัด ราวกับว่าถ้าแค่พูดออกไปคำเดียวจะไปทำลายความเงียบสงัดนั้น
จากนั้นก็ยังเป็นเฉินเสียนที่เริ่มพูดก่อน ขณะที่เงยหน้า หลับตาเพื่อปรับอารมณ์อยู่ “ซูเจ๋อ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ามีวรยุทธ”
ซูเจ๋อไม่ได้หันกลับมา กำลังตั้งใจย่างเนื้อกวางที่อยู่ในมืออยู่ แล้วพูดว่า “ผู้หญิงที่ฝึกวิทยายุทธไว้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอะไร เมื่อเผชิญภัยอันตรายก็สามารถที่จะปกป้องตัวเองได้”
เฉินเสียนพูดอย่างไร้กำลัง “ข้าถามว่าท่านรู้ได้อย่างไร เห็นชัดได้ว่าท่านไม่อยากตอบคำถามข้า”
ซูเจ๋อทอดสายตามองออกไป แล้วพูดว่า “จักรพรรดิองค์ก่อนก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงสัญญาว่าจะทำให้องค์หญิงที่มีเสน่ห์นั้นได้ฝึกวิทยายุทธ ตอนที่ท่านเห็นหุ่นไม้นั้น ท่านรู้สึกคันไม้คันมือใช่หรือไม่?ข้าเห็นท่านตอนที่ผ่าหุ่นไม้นั้นเป็นสองท่อน ข้าก็รู้แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...