ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 271

สายตาของฉินหรูเหลียงจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา เขาพูดขึ้นว่า : "การเจรจาสันติภาพได้เจรจาเงื่อนไขอะไรบ้าง?"

"อาณาจักรต้าฉู่ยกสามคูเมืองให้กับ อาณาจักรเย่เหลียง สองอาณาจักรพักศึก อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข"

ฉินหรูเหลียงคิดไม่ถึงเลย เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ : "อาณาจักรเย่เหลียงจะยินยอมได้อย่างไร อย่าว่าแต่ข้าไม่เชื่อเลย กลับถึงเมืองหลวงแล้ว แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ไม่ทรงเชื่อเหมือนกัน"

เฉินเสียนมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า : "อาณาจักรเย่เหลียงต้องการห้าคูเมือง แต่อาณาจักรต้าฉู่ยินยอมให้แค่สามคูเมืองเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงได้โยนปัญหานี้ให้กับใต้เท้าซูไปจัดการ และตอนนี้ใต้เท้าซูก็ได้ใช้สามคูเมืองในการต่อรองเจรจาสันติภาพของทั้งสองอาณาจักรได้สำเร็จ ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนอื่นพึงพอใจอีกหรือ?"

ฉินหรูเหลียงจึงพูดขึ้นว่า : "ฝ่าบาทไม่เคยพึงพอพระทัยในตัวเขาเสมอ"

ยาที่ใสจนเห็นถึงก้นถ้วย เฉินเสียนวางถ้วยยาลงและกำลังจะลุกขึ้น ฉินหรูเหลียงกลับเอื้อมมือมารั้งข้อมือของเธอไว้

เฉินเสียนหรี่ตาลง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : "ทำไม?"

ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า : "ท่านอย่าอยู่กับเขาได้หรือไม่?"

เฉินเสียนไม่ได้ตอบอะไร สายตาของเธอจับจ้องไปยังมือของเขาที่จับข้อมือของเธออยู่ มือที่ผอมแห้งและดูไร้เรี่ยวแรงนั่น เธอขมวดคิ้ว แล้วจึงเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมกับพูดขึ้นว่า : "ไม่ให้ข้าอยู่กับเขา แล้วจะให้ข้าอยู่กับท่านหรือไง? ท่านจะปกป้องข้าหรือ?"

ฉินหรูเหลียงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบกลับอย่างจริงจังว่า : "วันข้างหน้า ข้าจะปกป้องท่านอย่างสุดความสามารถเท่าที่ข้าจะทำได้"

เฉินเสียนได้ยินแล้วเหมือนว่ากำลังฟังเรื่องตลกขำขัน เธอฉีกยิ้มขึ้นที่มุมปากแล้วพูดขึ้นว่า : "ฉินหรูเหลียง ถ้าหากว่าข้ากับหลิ่วเหมยอู่กำลังเผชิญหน้ากับความอันตราย และท่านก็สามารถช่วยได้แค่คนเดียวเท่านั้น ท่านมั่นใจหรือเปล่าว่าท่านจะปกป้องนางหรือปกป้องข้า?"

ฉินหรูเหลียงนิ่งเงียบไป และลังเลใจในที่สุด

อาจเป็นเพราะการที่เขามีความลังเล เขาจึงเป็นฉินหรูเหลียงคนนี้กระมัง

เฉินเสียนไม่ได้รู้สึกว่าการลังเลของเขาเป็นสิ่งที่ไม่ควร ถ้าหากเขาพูดว่าจะปกป้องเธอโดยที่ไม่ลังเลเลยสักนิด เธออาจจะรู้สึกผิดหวังด้วยซ้ำไป

เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : "ไม่ต้องรอฟังคำตอบของท่าน ข้าก็พอจะรู้คำตอบ และยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้แขนของท่านก็อยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้ จะปกป้องผู้อื่นได้ยังไงกัน? ท่านปกป้องแค่ตัวท่านให้ดีก็ไม่เลวแล้วล่ะ"

คำพูดของเธอทิ่มแทงไปยังความรู้สึกของฉินหรูเหลียง

ทำให้ฉินหรูเหลียงตระหนักถึงการสัมผัสนี้ขึ้นมา เขารีบปล่อยมือของเฉินเสียนเป็นอันดับแรก แล้วรีบชักแขนข้างขวากลับมา

ข้อมือข้างขวาของเขามีแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ และรอยแผลเป็นนั้นก็ยังใหม่อยู่

เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : "พวกเขาตัดเส้นเอ็นมือด้านขวาของท่านหรือ?"

ฉินหรูเหลียงหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความขมขื่น : "หลังจากที่เห็นแขนข้างซ้ายของข้าถูกตัดเส้นเอ็นตั้งแต่นั้นเนิ่นๆ พวกเขาจึงตัดเส้นเอ็นแขนข้างขวาข้าด้วย"

ในขณะที่ฉินหรูเหลียงถูกคุมขังอยู่ในคุกนั้น เขาได้ดูถูกและละทิ้งในตัวเองไปแล้ว เพราะเขารู้สึกว่าตัวเขาเองเป็นแค่คนพิการคนหนึ่ง ถูกปล่อยตัวไปก็เท่านั้น มีแต่จะทำให้อาณาจักรต้าฉู่ต้องพลอยอับอายไปด้วย ชีวิตที่เหลืออยู่อาจจะไม่สามารถถือดาบได้ตลอดชีวิต

ตอนนี้หมอหลวงในวังกำลังรักษาบาดแผลภายนอกของฉินหรูเหลียง ส่วนเส้นเอ็นแขนที่ถูกตัดขาดไปนั้น ยากที่จะต่อกลับได้

ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นว่า : "ไม่ว่ายังไงก็ต้องชดใช้อยู่ดี เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับท่าน มันเป็นสิ่งที่ข้าสมควรจะโดน"

เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : "ข้าไม่ได้โทษตัวเองเสียหน่อย ถ้าหากให้ท่านเลือกใหม่อีกครั้ง ตอนที่หลิ่วเหมยอู่โดนพิษ ท่านก็ยังเลือกที่จะไม่สนชีวิตข้ากับลูกในท้อง และก็จะใช้รกของข้าเพื่อจะนำไปช่วยชีวิตนาง ส่วนข้าก็ยังเลือกที่จะให้แขนท่านพิการอยู่ดี"

"ข้ารู้" ฉินหรูเหลียงพยักหน้าเบาๆ : "ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้แต่โทษตัวเองเสมอมา"

เฉินเสียนหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : "รอกลับเมืองหลวงแล้ว ข้าจะทำให้ท่านได้รู้ ว่าการทำยาถอนพิษสั่วเชียนโหวนั้น สรุปแล้วต้องใช้รกของมนุษย์หรือไม่"

ฉินหรูเหลียงเงียบไป

เฉินเสียนลุกขึ้น หมุนตัวแล้วหันออกไปด้านนอก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : "ท่านพักผ่อนเถอะ"

ฉินหรูเหลียงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นซูเจ๋อมายืนรออยู่ที่นอกประตูแล้ว

เมื่อเฉินเสียนออกไปแล้ว ซูเจ๋อได้ทอดสายตามองเข้ามาในห้องอยู่ครู่หนึ่ง แววตาของเขาลุ่มลึก นัยน์ตาขาวดำแบ่งแยกชัดเจน เขาหยุดสายตาไว้ที่ฉินหรูเหลียงเพียงครู่เดียว

ถึงแม้ว่าจะไม่มีองค์ชายหกนั้นเป็นคนนำเที่ยว องค์จักรพรรดิเย่เหลียงก็ได้ทรงรับเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เฉินเสียนและซูเจ๋อจะกลับไป ยกเว้นที่ประทับส่วนพระองค์ในราชนิเวศน์แล้ว นอกนั้นพื้นที่อื่นก็สามารถเที่ยวชมได้ตามอำเภอใจ

เข้าสู่พลบค่ำ ซูเจ๋อพาเฉินเสียนเดินข้ามสะพานคูน้ำธรรมชาติ ทั้งคู่ค่อยๆ เดินช้าๆ ข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม

ค่อยๆ เดินขึ้นเนินเขาทางฝั่งตรงข้าม ตรงขึ้นสู่ยอดสูงสุดของเทือกเขาหิมะ ชื่นชมวิวทิวทัศน์ตลอดทางเดินที่ทอดยาวนั่น

ยิ่งขึ้นสูงก็ยิ่งรู้สึกหนาวขึ้นเรื่อยๆ

บนเทือกแห่งเขานี้ สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของทั้งสี่ฤดูกาลได้อย่างชัดเจน

หิมะที่ไม่มีวันละลายบนยอดเขานั่น ได้ชมหิมะในช่วงคิมหันตฤดูเข้าสู่สารทฤดูแบบนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดี

ในที่สุดเฉินเสียนและซูเจ๋อก็ขึ้นมาจนถึงยอดเขา พอดีกับช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อัสดง สาดส่องย้อมหิมะที่ขาวสะอาดทั้งภูเขาจนกลายเป็นสีแดงทอง สวยสดงดงามจรรโลงใจ

เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าลึก

อากาศที่ค่อนข้างเย็นจัด

เธอถามขึ้นว่า : "ซูเจ๋อ พาข้ามาที่นี่ทำไม?"

"ชมวิวทิวทัศน์" เขาพูดขึ้นอย่างกระจ่างชัด : "อาเสียน ฉินหรูเหลียงทำทานไม่สบายใจหรือ? ท่านเป็นห่วงเขา?"

เฉินเสียนจึงถามขึ้นว่า : "ข้าไม่ควรเป็นห่วงเขาหรือ? หรือบางทีก็ไม่ควรห่วงกระมัง"

เธอนั่งลงบนเทือกเขาที่หนาวเหน็บ หรี่ตาลงทอดมองพระอาทิตย์อัสดงที่ไกลโพ้น

สีสันของแสงอาทิตย์อัสดงน่าหลงใหล แต่แสงที่กระทบลงบนผิวหน้ากลับไร้ซึ่งความอบอุ่น

เวลาเฉินเสียนเจอหน้ากับฉินหรูเหลียง เธอก็มักจะหวนนึกถึงเรื่องบางเรื่อง เด็กหนุ่มคิ้วเข้มดวงตากลมโตภายใต้แสงแดดนั่น และใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ภาพที่เขาส่งมอบผลแอพริคอตให้เธอกิน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี