เฉินเสียนไม่มีทางเลือก เธอทำได้เพียงก้าวยาวๆ ออกไปจากถ้ำโดยมีซูเจ๋อก้าวตามออกมาอย่างไม่รีบร้อน
ทั้งสองคนนั่งยองๆ อยู่ใต้ต้นสนซึ่งมีหิมะกองสะสมอยู่หนาตาที่สุด
เฉินเสียนกอบหิมะขึ้นมา แต่ยังไม่ทันไรซูเจ๋อก็หยิบออกไป
เธอมองนิ้วที่เรียวยาวราวกับหยกของซูเจ๋ออย่างอึดอัด เขาบีบหิมะจนกลายเป็นก้อนกลม แล้วหิมะก็ละลายหยดลงมาจากซอกนิ้วขาวๆ ที่กลายเป็นสีแดงเล็กน้อยเพราะความหนาวเย็น
ซูเจ๋อกล่าวว่า “อาเสียน รับน้ำสิ”
น้ำค่อนข้างเย็นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับเย็นจัด
น้ำใสๆ จากหิมะชะล้างความเหนียวเหนอะบนมือของเฉินเสียนทีละน้อย เธอค่อนข้างเขินอาย แต่ก็เอ่ยขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกได้ว่า “รู้สึกเหมือนข้าจะทำเรื่องบ้าๆ ลงไปแล้ว”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติ ท่านใช้เพียงมือเดียวก็เอาเปรียบข้าได้แล้ว”
“...” เฉินเสียนกลับคำ “พูดอะไรควรมีมโนธรรมหน่อยเถอะ เห็นได้ชัดว่าท่านเอาเปรียบข้าก่อนแต่ไม่สำเร็จ ข้าจึงต้องช่วยท่านจัดการปัญหาที่ตามมา”
ทันทีที่พูดออกไป ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมอีกครั้ง เพียงแต่บรรยากาศหวานชื่นที่ห้อมล้อมอยู่ระหว่างคนทั้งสองได้ช่วยทำให้ความเขินอายหายสิ้นไป
เมื่อเฉินเสียนล้างมือจนสะอาด ลูกบอลน้ำแข็งในมือของซูเจ๋อก็แทบจะละลายจนหมด
เธอสะบัดหยดน้ำในมือ ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางป่าที่เงียบสงัดและดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เสียงฝีเท้านั้นไม่ได้เร่งรีบ ซูเจ๋อกล่าวว่า “พวกเขาน่าจะหาเจอแล้ว”
“ซูเจ๋อ” เฉินเสียนเรียกเขาเบาๆ
เขาขานรับสั้นๆ อยู่ข้างกายเธอ
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา”
“ความสัมพันธ์แบบไหนหรือ”
เฉินเสียนเม้มริมฝีปากและหรุบตาไม่มองเขาตรงๆ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ก็ความสัมพันธ์แบบตอนที่อยู่ในถ้ำนะสิ บางทีหลังจากออกไปจากที่นี่ ข้าคงต้องทำเป็นห่างเหินกับท่านเหมือนก่อนหน้านี้และรักษาระยะห่างจากท่าน”
เธอหยุดไปครู่หนึ่งและกล่าวอีกว่า “ตอนนี้ยังไปไม่ถึงเมืองหลวง ขณะที่ข้ายังเปิดปมในใจได้ไม่หมดสิ้น ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองก็ตายไปแล้ว สาวใช้ในสถานที่พักรับรองต่างก็มองเราออกทันที แล้วหลังจากกลับไปเมืองหลวงจะเป็นเช่นไรล่ะ ข้าไม่อยากนำปัญหามาให้พวกเรา”
คราวนี้เธอไม่ลังเลและไม่สับสนอีกต่อไป ภายในใจของเธอรับรู้ได้ถึงความสงบที่แท้จริง ถ้าหากว่าเป็นเพื่ออนาคตของเธอและซูเจ๋อ คราวนี้เธอจะต้องจัดการกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เธอมีต่อซูเจ๋อไม่ให้หลงเหลือ จะปล่อยให้ใครสังเกตเห็นไม่ได้แม้แต่น้อย
“กลับไปเมืองหลวง...” ซูเจ๋อหรี่ตาและเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้วางแผนจะให้ท่านกลับไปที่เมืองหลวง เมื่อไปถึงเมืองถัดไปและได้ติดต่อกับข้าราชบริพารเก่าที่อยู่ที่นั่น ท่านจะต้องลงไปทางใต้เพื่อไปสมทบกับกองกำลังทหารในเขตใต้ของแม่ทัพโฮ้ว”
เฉินเสียนชะงักไป เมื่อเงยหน้ามองจึงเห็นเงารางๆ ของฉินหรูเหลียงและเฮ่อโยวที่อีกด้านหนึ่งของป่า
เธอถามว่า “ถ้าไม่กลับเมืองหลวง แล้วเจ้าน่องน้อยล่ะ”
“ข้าจะหาวิธี”
ขณะที่เฉินเสียนกำลังจะถามว่าเขาคิดจะทำอย่างไร สองคนนั้นก็พบพวกเธอเข้าพอดี
เฮ่อโยวตะโกนขึ้นมาทันที “เฉินเสียน ที่แท้พวกท่านก็อยู่ที่นี่เอง! ข้ากับแม่ทัพฉินเลยหาง่ายๆ หน่อย!”
เฉินเสียนยังไม่ทันถามเรื่องที่ค้างคา เฮ่อโยวก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาและถามอีกว่า “พวกท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม เมื่อครู่เราเพิ่งพบศพของนักฆ่าอยู่ตรงนั้น”
ทุกอย่างเห็นได้ชัด ไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ว่านั่นจะต้องเป็นผลงานของซูเจ๋อแน่นอน
เฉินเสียนส่ายศีรษะและบอกว่า “พวกเราไม่เป็นไร”
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “ในเมื่อไม่เป็นไร ถ้าเช่นนั้นก็รีบลงไปจากภูเขากันเถอะ”
ซูเจ๋อย่อมรู้ดีว่าเธอต้องการจะพูดอะไร ดังนั้นเขาจึงขัดขึ้นว่า “แม้จะอยู่ไม่ไกล แต่ตอนนี้ในเมืองหลวงจะต้องมีหูมีตาเฝ้าดูอยู่แน่นอน ทันทีที่ท่านกลับไป ทันทีที่เข้าไปในจวนแม่ทัพ เรื่องจะต้องถึงพระกรรณของจักรพรรดิทันทีเป็นแน่ ถึงตอนนั้นจะยังไปได้อีกหรือ”
เฉินเสียนขมวดคิ้วและถามว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านคิดจะใช้วิธีใดเพื่อพาเจ้าน่องน้อยออกมา ให้เหลียนชิงโจวพาออกมารึ”
ซูเจ๋อมีสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า “ท่านกับเจ้าน่องน้อยยังมีโอกาสได้เจอกันอีก เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา หรือท่านอยากจะพาเขาขึ้นเหนือล่องใต้ พาไปบากบั่นและทรมานอย่างนั้นหรือ”
เฉินเสียนพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “ก็ใช่ เขาเพิ่งอายุแค่หนึ่งขวบ ข้าพาเขามาด้วยไม่ได้ และไม่อาจทำให้เขาเห็นความขัดแย้งตั้งแต่ยังเล็ก แต่ว่า... จะให้เขาอยู่ที่เมืองหลวงต่อไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นข้าคงจะกังวลว่าจักรพรรดิจะใช้เขามาบีบบังคับข้า”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เจ้าน่องน้อยปลอดภัยดี”
แม้ว่าจะถูกจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ใช่จุดอ่อนมาข่มขู่ แต่ตราบใดที่เฉินเสียนยังมีชีวิตอยู่ดี เจ้าน่องน้อยก็จะปลอดภัย
ถ้าบอกเฉินเสียนในเวลานี้ คิดๆ ดูแล้วเธอคงไม่ฟัง ด้วยความห่วงใยจากก้นบึ้งของหัวใจ เธอไม่มีทางทนมองเจ้าน่องน้อยตกอยู่ในกำมือของจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ได้แน่
เมื่อเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของซูเจ๋อ เฉินเสียนจึงไม่รบเร้าถามหาสาเหตุอีกและบอกเพียงว่า “ท่านกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะ”
ชุดสีดำของซูเจ๋อขาดแล้ว นอกจากนี้ยังมีรอยเลือดอยู่ด้วย แม้จะมองเห็นไม่ชัด แต่สวมใส่แล้วก็คงไม่สบายนัก
เฉินเสียนออกไปในเมืองและซื้อชุดใหม่มาหนึ่งชุด เป็นชุดสีดำแบบที่เขามักสวมใส่
เฉินเสียนถือชุดทาบลงตรงหน้าเขาและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะพอดีตัวหรือเปล่า ท่านลองสวมดูสิ”
ซูเจ๋อยิ้มน้อยๆ พลางรับชุดมาและกล่าวว่า “อาเสียนช่างมีน้ำใจ”
ถึงอย่างไรก็ยังไม่ต้องรีบร้อนกลับไปเมืองหลวง เฉินเสียนจึงคิดเอาเองว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องรักษาระยะห่างจากเขา เธอจึงอยากดูแลเขาให้ดี
แต่ปากของเฉินเสียนกลับพูดไปว่า “แค่เดินผ่านไปเห็นก็เลยซื้อมา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...